LINE it!
 @allkaset





  • ฝรั่ง


    ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับชีวิตประจำวันของคนไทยและเป็นผลไม้ที่มีขายตลอดทั้งปี มีรสชาติดี ราคาไม่แพง มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะวิตามินซีและวิตามินเอ สามารถนำมาใช้รับประทานผลสด หรือนำมาแปรรูปเป็นน้ำฝรั่ง เยลลี่ฝรั่ง แยมฝรั่ง เป็นต้น ฝรั่งจัดเป็นไม้ผลขนาดกลาง มีกิ่งเหนียว แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้าง สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ถ้า ปลูกในดินร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก และมีการระบายน้ำดี ก็ยิ่งจะได้ผลผลิตดี ฝรั่งมีความต้านทานต่อสภาพแห้งแล้ง ได้ดี จึงนิยมปลูกกันอยู่ทั่วไป ปัจจุบันพื้นที่ที่มีการปลูกกันมากได้แก่ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี และบริเวณจังหวัด ใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร และเริ่มขยายแหล่งปลูกไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ชื่อวิทยาศาสตร์ :��� Psidium guajava� L.
    ชื่อสามัญ :� Guava
    วงศ์ :��� MYRTACEAE
    ชื่ออื่น :� สุราษฎร์ธานี จุ่มโป่, ปัตตานี ชมพู่, เชียงใหม่ มะก้วย, เหนือ มะก้วยกา มะมั่น, แม่ฮ่องสอน มะกา, ตาก มะจีน, ใต้ ยามู ย่าหมู, นครพนม สีดา, จีนแต้จิ๋ว ปั๊กเกี้ย

    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

    ��
    ราก เป็นระบบรากแก้ว แตกเป็นรากแขนงจำนวนมาก และหยั่งลึกได้มากกว่า 2-5 เมตร
    �������
    ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เป็นทรงพุ่ม สูงประมาณ 3-10 เมตร แตกกิ่งก้านบริเวณใกล้โคนต้น มีการแตกหน่อจากรากบริเวณใกล้กับลำต้น เปลือกมีสีน้ำตาลอมแดงหรือน้ำตาลอมเขียว เปลือกลอกออกเมื่อลำต้นแก่ กิ่งอ่อนมีปีกเล็ก ทำให้กิ่งมีรูปเป็นสี่เหลี่ยม กิ่งอ่อนมีสีเขียวอมเหลืองหรือแดงเข้ม มีขนปกคลุมหนาแน่น และจะหลุดหายเมื่อกิ่งแก่ กิ่งแก่สีน้ำตาลอมแดงไม่มีขนปกคลุม
    �������
    ใบ เป็นไม้ประเภทใบคู่ ใบอ่อนมีสีเขียว ผิวใบมีลักษณะไม่เรียบ มีขนอ่อนปกคลุม แตกออก 2 ใบ จากกิ่งตรงข้ามกัน ด้านบนใบมีร่องลึก แผ่นใบเป็นรูปไข่ ปลายมน กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ด้านหลังใบเรียบ ด้านท้องใบมีขนอ่อนปกคลุม มีเส้นใบมองเห็นชัด เป็นนูนขึ้นมา ฐานใบโค้ง ขอบใบเรียบ และมีขอบโปร่งใส
    �������
    ดอก ดอกของฝรั่งจะมีเกสรตัวผู้ และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ดอกเกิดที่ตาข้างบริเวณเหนือซอกใบ มักไม่เกิดที่ตายอด เกิดเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ จำนวน 2-3 ดอกต่อช่อ ก้านดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนปกคลุม เมื่อติดผลมีสีเขียวอ่อน มีกลีบรองดอก 4-6 อัน มีสีเขียวอมเหลือง มีขนอ่อนปกคลุม ดอกตูมจะมีกลีบเลี้ยงหุบห่อหุ้มดอกไว้ และจะแตกออกเมื่อดอกเริ่มคลี่บาน ชั้นกลีบเลี้ยงจะไม่ร่วงออกจนผลแก่ก็ยังติดอยู่ ชั้นกลีบดอกสีขาวรูปร่างรีขนาดเท่ากัน มีจำนวน 4-5 อัน เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก และแทรกอยู่รอบๆ อับเกสรสีเหลืองอ่อน และแตกตามความยาว เกสรตัวเมียมีรังไข่ 4-5 ช่อง ก้านเกสรตัวเมียเรียวยาว มีสีเขียวอมเหลือง ไม่มีขน ยอดเกสรตัวเมียมีตุ่มเล็กๆ
    �������
    ผล รูปร่างกลมหรือรูปไข่ เป็นป่องตรงปลาย เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-9 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ขึ้นกับพันธุ์ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมถึงปัจจัยการดูแล มีชั้นกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ปลาย เปลือกโดยทั่วไปเรียบ และขรุขระเล็กน้อย ผิวเปลือกเป็นมัน ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอ่อน เมื่อสุกจะมีสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เนื้อผลมีสีขาว สีขาวชมพู และเหลือง
    �������
    เมล็ด แทรกตัวในเนื้อชั้นในบริเวณใจกลางของผล เมล็ดอาจมีจำนวนมาก จำนวนน้อยหรือไม่มีเลย ขึ้นอยู่กับพันธุ์ เมล็ดมีลักษณะกลมมน สีเหลืองอ่อนหรือน้ำตาลอมเหลือง เปลือกเมล็ดมีลักษณะแข็งมาก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.2-0.3 เซนติเมตร และยาว 0.3-0.5 เซนติเมตร

    ฝรั่ง ถือเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมรับประทานชนิดหนึ่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ลักษณะลำต้นเป็นไม้ทรงพุ่ม สูง 3-5 เมตร สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน และทนต่อความแล้ง และน้ำขังได้เล็กน้อย แต่โดยทั่วไปมักชอบเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย สภาพพื้นที่มีการระบายน้ำดี สามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 1 ปีหลังปลูก ผลสามารถเก็บได้ในช่วง 4-5 เดือน หลังติดดอก ซึ่ีงผลที่ได้จะติดผล และถึงระเก็บไม่พร้อมกันทั้งต้น โดยทั่วไปจะให้ผลได้ในช่วงปลายฤดูแล้งถึงต้นฤดูฝน คือ ช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ และสายพันธุ์ที่ปลูก

    พันธุ์ที่ได้รับความนิยมปลูกในปัจจุบัน

    1. พันธุ์แป้นสีทอง
    ลักษณะผลกลม ผิวผลเรียบ มีเส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 10-15 ซม. ผลอ่อนมีสีเขียวสด ส่วนผลแก่ที่อยู่ในระยะเก็บเกี่ยวจะมีสีเขียวอมเหลือง เนื้อภายในมีความหนาประมาณ 1-2 ซม. รสชาติหวาน กรอบ มีเมล็ดเล็กน้อย

    2. พันธุ์ไร้เมล็ด
    ลักษณะผลส่วนล่างจะใหญ่กว่าด้านบน ผิวผลไม่เรียบ มีรูปทรงไม่แน่นอน เนื้อหวาน กรอบ ไม่มีเมล็ด

    3. พันธุ์กลมสาลี่
    เป็นพันธ์ที่นิยมปลูกกันมากในช่วงแรกๆ ผลกลมแป้น ผิวเขียวอมเหลือง ขนาดผลปานกลาง รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เนื้อหนาละเอียดแน่นกรอบ สีขาว ผลแก่สามารถปล่อยให้อยู่บนต้นได้เป็นเวลานาน

    4. พันธุ์กิมจู
    ลักษณะผลกลม บนเปลือกผลมีสันนูน เนื้อหนา รสหวานกรอบ มีเมล็ดน้อย

    5. พันธุ์หวานพิรุณ
    มีลักษณะผลคล้ายกับพันธุ์แป้นสีทอง

    6. พันธุ์แป้นไส้แดง
    ลักษณะผลกลม ผิวขรุขระเล็กน้อย เนื้อไส้ภายในมีสีแดง เนื้อกรอบหวาน มีกลิ่นหอม เหมาะสำหรับการนำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่ง เนื่องจากผลสุกเร็วและเก็บไว้ได้ไม่นาน

    7. พันธุ์เวียดนาม
    ลักษณะผลยาว ผิวไม่เรียบ เนื้อนิ่ม มีรสหวาน มีเมล็ดจำนวนมาก มีทั้งชนิดที่มีเนื้อสีแดงและสีขาว แต่ชนิดเนื้อสีแดงจะมีกลิ่นหอมกว่า

    8. พันธุ์ฮ่องเต้
    เป็นฝรั่งพันธุ์ใหม่ ที่มีผลยาวขนาดใหญ่ ผิวผลขรุขระ เนื้อกรอบอร่อย รสชาติดี ติดผลง่าย ให้ผลผลิตดกตลอดทั้งปี

     

    การขยายพันธุ์

    ��������
    การขยายพันธุ์สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การปลูกด้วยเมล็ด การทาบกิ่ง การติดตา การปักชำ แต่วิธีที่นิยมมากที่สุด คือ การตอนกิ่ง ซึ่งมีข้อดีหลายด้าน คือ
    1. การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ง่าย และสะดวก เพราะสามารถหาซื้อกิ่งพันธุ์ได้ง่ายตามสวนฝรั่งหรือตลาดเกษตรได้โดยตรง
    2. กิ่งพันธุ์ที่ได้มักถูกตอนจากต้นแม่พันธุ์ที่มีลักษณะเด่นตามต้องการได้
    3. ผลที่ได้จากการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้สามารถให้ผลที่มีลักษณะตามความต้องการของตลาด
    4. ทรงพุ่มเตี้ย ไม่สูงมาก
    5. ออกดอก และติดผลได้รวดเร็ว
    6. ต้นตั้งตัวได้เร็ว มีความแข็งแรง และทนทานต่อโรค
    7. สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

    การปลูกฝรั่ง

    การเตรียมดิน และการเตรียมแปลง สามารถทำได้ 2 รูปแบบตามสภาพพื้นที่ คือ
    �������1. พื้นที่ดินเหนียว น้ำท่วมขังง่าย และมีระบบน้ำมากเกินพอ ให้ทำการขุดร่องลุกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1-2 เมตร เพื่อเป็นแนวร่องสำหรับการให้น้ำ การเตรียมแปลง และการปลูกในลักษณะนี้มักพบในพื้นที่ลุ่มภาคกลางเป็นส่วนใหญ่
    �������2. พื้นที่ทั่วไปที่มีระบบน้ำไม่เพียงพอ สามารถปลูกในแปลงโดยไม่ยกร่องหรือการยกร่องสูงประมาณ 30 ซม. ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 3-4 เมตร ทั้งนี้ ให้ทำการไถดะ 1 ครั้ง เพื่อตากดิน และกำจัดวัชพืช และไถแปร 1 ครั้ง โดยเว้นช่วงห่างประมาณ 1-2 อาทิตย์ หลังจากนั้นทำการไถยกร่อง

    วิธีปลูก
    1. ใช้กิ่งพันธุ์จากการตอนหรือการปักชำ
    2. ขุดหลุมปลูก กว้าง ลึก ขนาด 50X50 เซนติเมตร แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 3 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 3-4 เมตร หรือตามขนาดระยะห่างของร่อง
    3. รองพื้นด้วยปุ๋ยคอกหรือมูลสัตว์ประมาณ 0.5 กิโลกรัม/หลุม หรือขนาด 1 พลั่วตัก พร้อมคลุกดินผสมก้นหลุมให้สูงประมาณ 1 ฝ่ามือ ทั้งนี้อาจผสมปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ในอัตรา 1 กำมือ/หลุมก็ได้
    4. นำกิ่งพันธุ์ลงหลุมปลูก โดยกลบดินสูงเหนือปากหลุมเล็กน้อย ทั้งนี้ควรให้ดินกลบเหนือเขตรากสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร
    5. ใช้หลักไม้ปักหลุม และผูกเชือกยึดลำต้น
    6. เมื่อปลูกเสร็จควรให้น้ำให้ชุ่มทันที

    การให้น้ำ
    เริ่มให้น้ำครั้งแรกหลังการปลูกเสร็จให้เปียกชุ่ม หลังจากนั้น ให้น้ำทุก 2 ครั้ง/วัน เช้า-เย็น จนต้นฝรั่งตั้งตัวได้ โดยอาจเลือกใช้ระบบการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นอาจทำการให้น้ำน้อยลง ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ และความชุ่มชื้นของดิน ซึ่งไม่ควรปล่อยให้ดินแห้ง ขาดน้ำ โดยเฉพาะในช่วงติดผล แต่ในช่วงติดดอกไม่ควรให้น้ำมากซึ่งในช่วงนี้เพียงแค่ระวังไม่หน้าดินแห้งก็ เพียงพอ

    การใส่ปุ๋ย
    การใส่ปุ๋ยแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
    - ช่วงปลูกจนถึงออกผลรุ่นแรก ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องดูแลให้ฝรั่งเจริญเติบโตจนถึงให้ผลในรุ่นแรก ซึ่งการใส่ปุ๋ยจะใส่ปุ๋ยเป็นระยะเพื่อให้ต้นฝรั่งสามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยอาจใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักผสมกับปุ๋ยเคมีในสูตร 12-12-0 ในอัตราส่วนปุ๋ยคอกต่อปุ๋ยเคมี 10:1 ในอัตรา 0.5 กิโลกรัม/ต้น ประมาณ 1-2 ครั้ง ก่อนการติดดอก
    - ช่วงให้ผลผลิต ในช่วงที่ให้ผลิตในระยะออกดอกให้ใส่ปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตราเดียวกัน และเมื่อก่อนที่ผลฝรั่งจะห่ามก่อนเก็บผลผลิตประมาณ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ในอัตราเดียวกัน

    การกำจัดวัชพืช
    ในระยะเริ่มปลูกจนถึงต้นอายุ 6 เดือน หลังปลูก ให้กำจัดวัชพืชรอบโคนต้นทุกๆ 1 ครั้ง/เดือน ร่วมด้วยกับการไถกลบ หลังจากเมื่อต้นแตกกิ่งแล้วอาจทำการกำจัดวัชพืชน้อยลงก็ได้

    การตัดแต่งกิ่ง
    การตัดแต่งกิ่งจะตัดกิ่งที่มีอายุมากแล้วออกเพื่อให้กิ่งใหม่ขึ้นแทน เพราะหากใช้กิ่งที่ให้ผลมาแล้วตั้งแต่ 3 ปี จะทำให้ผลที่ได้มีขนาดเล็กลง สำหรับกิ่งที่ยาวมากทั้งด้านข้างหรือในแนวสูงให้ตัดปลายกิ่งออก เพื่อให้มีลักษณะทรงพุ่มที่พอเหมาะสำหรับการเก็ฐผล ไม่กว้างหรือไม่สูงเกินไป นอกจากนั้น การตัดแต่งกิ่งยังช่วยในเรื่องการถ่ายเทของลมได้ดี แสงแดดสามารถส่องได้ทั่วถึงในทรงพุ่ม

    การห่อผล
    �������เป็นวิธีการที่ใช้ในการป้องกันการกัดกินผลของแมลง และสัตว์ต่างๆ รวมถึงเชื้อราหรือสภาพแวดล้อมต่างๆที่อาจทำให้ผลเสียรูปไม่สวยงามได้ มีขั้นตอนการห่อ ดังนี้
    �������- ก่อนการห่อให้ฉีดพ่นผลด้วยยากำจัดเชื้อราก่อน หรือหากต้องการใช้วิธีธรรมชาติให้ฉีดพ่นด้วยน้ำต้มสมุนไพร อาทิ บรเพ็ด สะเดา เป็นต้น
    �������- วัสดุที่ใช้ควรเป็นกระดาษชนิดเคลือบมัน หากใช้ถุงพลาสติกให้ห่อทับด้วยกระดาษอีกชั้น
    �������- การห่อเริ่มด้วยการม้วนกระดาษเป็นวงกลมตามขนาดของผล และสวมครอบผล พร้อมรัดกระดาษ หรือพลาสติกด้วยสายรัด ณ จุดที่เป็นกิ่งของผลจะดีที่สุด

    การปลิดผล
    ������� เป็นวิธีการปลิดผลดิบให้เหลือผลเพียง 2-3 ผล/กิ่ง เพื่อให้ลูกที่เด่น และสมบูรณ์ที่สุดเจริญเติบโต ซึ่งการปลิดผลดิบจะเริ่มปลิดผลเมื่อผลทั้งหมดติด และโต ขนาดประมาณเท่าลูกมะนาว โดยให้ทำการเลือกปลิดผลที่มีขนาดเล็กสุดออก ให้เหลือผลที่มีขนาดใหญ่ไว้เพียงจำนวนข้างต้น

    การเก็บผลผลิต
    การเก็บผลควรเก็บผลที่แก่หรือกำลังห่าม ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอายุประมาณ 4-5 เดือน (ไม่ควรเก็บผลที่ยังไม่ห่ามหรือผลที่ไกล้สุก) ลักษณะผลที่เหมาะสมต่อการเก็บจะสังเกตได้จากสี และผิวของผล ซึ่งจะมีลักษณะสีตามสายพันธุ์ เช่น แป้นสีทองผลที่ได้ระยะเก็บจะมีสีเขียวอ่อนออกเหลือง ผิวมีลักษณะเต่งตึง ขั้วผลเรียวเล็กสีเขียวอ่อน การเก็บจะใช้กรรไกรตัดชิดขั้วผล รวบรวมใส่กะบะพลาสติก พร้อมนำเข้าร่มทำความสะอาด รอส่งจำหน่าย

     

    แมลงศัตรูฝรั่ง

    1. แมลงวันทอง

    การทำลายเกิดจากแมลงวันทองวางไข่ที่ใต้ผิวฝรั่งสุก (หรือระยะที่ผิวผิวอ่อน) ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่จะเจริญกินเนื้อฝรั่งเป็นอาหารทำให้ฝรั่งอ่อนนิ่มและเละ ในที่สุด
    การป้องกัน ห่อผลในขณะที่ผิวยังแข็ง มีสีเขียว ขนาดเล็ก การห่ออาจห่อด้วยถุงพลาสติกชั้นเดียว หรือ 2 ชั้น โดยต้องเจาะรูกระดาษห่อชั้นในก้นถุงให้น้ำไหลออก

    2. เพลี้ยแป้ง

    จะดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบอ่อน กิ่งอ่อน และช่อดอกทำให้แห้งเฉาหรือใบผิดรูปร่างและผลผลิตลดลง
    การป้องกัน พ่นด้วยสารละลายคลอไฟรีฟอส50%+ไซเปอร์เมทริน5% 20 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้น ใบ กิ่งอ่อนและผลทุก ๆ 7 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง และหยุดพ่นสารเคมีอย่างน้อย 7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวผลหากปลูกส่งออกอาจใช้ สารอิมิดาคลอพริด 70 % พ่น แทน เพราะมีสารตกค้างน้อยกว่า

    โรคพืชที่เกิดในฝรั่ง

    1. โรคจุดสนิม
    ��������������

    เกิดจากเชื้อราเข้าทำลายใบ โดยจะเห็นจุดขนาดเล็ก เริ่มจากจุดสีเขียวแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีสนิมเหล็กและเป็นขุยคล้ายกำมะหยี่ ถ้าเป็นที่กิ่งจะทำให้เป็นขุยและกิ่งแตกแห้งตาย
    การป้องกัน ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น มาแนบและซีแนบหรือฉีดพ่นด้วยดูโอ 400 อตรา 20 cc/น้ำ20 ลิตรเพื่อฆ่าเชื้อ

     

    2. โรคแอนแทรคโนส

     

    ��������������
    เกิดจากเชื้อราเข้าทำลายผลอ่อน ผลสุกและใบ อาการบนใบจะเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ แผลอาจทะลุ ถ้าเป็นที่ผลอ่อนจะทำให้มีสีน้ำตาลและเน่าแห้งไปในที่สุด แต่ถ้าเป็นระยะผลสุกหรือใกล้สุก จะเกิดแผลเน่าสีน้ำตาล อาการจะลุกลาม แผลจะบุ๋มลงเล็กน้อยมีจ้ำสีคล้ำและเมือกสีแสดปรากฏให้เห็น
    การป้องกัน ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราก่อนห่อผล เช่น ดูโอ 400 แคบแทน โปรคลอราช


    ฝรั่ง( 3 รายการ )

    ฟอสฟิทอล เอ็กซ์ตร้า

    สูตร 0-30-18
    รหัสสินค้า A119
    ไม่ระบุ

    289.00 - 349.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ปวยเล้ง

    2 กรัม ความงอก 85%
    รหัสสินค้า A84
    หมดอายุ 2/70

    10.00 - 12.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    กวางตุ้งดอก เขียวอำพัน

    100 กรัม ความงอก 70%
    รหัสสินค้า A230
    หมดอายุ 3/70

    69.00 - 99.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข