LINE it!
 @allkaset





  • กล้วยไม้

    �������
    กล้วยไม้มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “orchid” น่าแปลกที่ทั้งในภาษาไทยและอังกฤษต่างก็มีความหมายใกล้เคียงกัน เราเรียกพืชชนิดนี้ว่า กล้วยไม้ เพราะมีลักษณะ คล้ายกล้วย ได้แก่เอื้องต่าง ๆ เช่น เอื้องผึ้ง หรือเอื้องคำ ซึ่งมีมากในแถบภาคเหนือของประเทศ ส่วนของกล้วยไม้บางตอนมีลักษณะคล้ายผลกล้วยเราเรียกว่า ลำลูกกล้วย คำ “orchid” นั้น มาจากภาษากรีกหมายความถึงลักษณะโป่งเป็นกระเปาะคล้ายต่อมชื่อนี้ก็คงจะได้มาจากการพิจารณาจากลำลูกกล้วยที่เป็นส่วนของกล้วยบางชนิดเช่นเดียวกันแต่ลักษณะพื้นฐานทาง พฤกษศาสตร์ ที่บรรยายลักษณะพืชในวงศ์กล้วยไม้ ได้ยึดถือรายละเอียดต่าง ๆ ของดอกเป็นหลักสำคัญพันธุ์ไม้ในวงศ์กล้วยไม้ด้วย กล้วยไม้มีสภาวะความเป็นอยู่ตามธรรมชาติแตกต่างกัน บางชนิดอยู่บนพื้นดินบางชนิดอยู่บนต้นไม้ และบางชนิดขึ้นอยู่บนหินที่มีหินผุและใบไม้ผุ ตกทับถมกันอยู่ ทั้งนี้สุดแล้วแต่ลักษณะและอุปนิสัยของกล้วยไม้แต่ละชนิด ซึ่งจะปรับตัวตามความเหมาะสมกับสภาวะและการเปลี่ยนแปลงตามสภาพต่าง ๆ ของธรรมชาติที่แวดล้อม

    ชื่อวิทยาศาสตร์:��� Orchid
    ชื่อวงศ์:��� ORCHIDACEAE
    ชื่อสามัญ:��� Orchid
    ชื่อพื้นเมือง:��� เอื้อง (ภาคเหนือ)

    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

    ต้น
    ลำต้นของกล้วยไม้ไม่มีแก่นและเปลือก� เนื้อในเสมอกัน� ลำต้นมี 2 ลักษณะ คือ� ลำต้นแท้� มีข้อและปล้องเหมือนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป� มีการเจริญเติบโตทางยอด� ลำต้นเทียมหรือลำลูกกล้วยไว้สะสมอาหาร� มีลำต้นเป็นเหง้า� มีข้อและปล้องถี่� เจริญในแนวนอนไปตามผิวของเครื่องปลูก� รากกลมอวบเป็นเส้นเล็กแข็งหรือแบนราบ� มีทั้งรากดิน� รากกึ่งดิน� รากกึ่งอากาศ� และรากอากาศ

    ใบ
    เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวมีลักษณะต่างกันออกไป� เช่น� รูปแถบ� รูปกลมยาว� หรือลดรูปเป็นเพียงเกล็ด� แผ่นใบบางคล้ายใบหมาก� หนาอวบน้ำ� หรือเป็นแท่งกลม� ส่วนมากแล้วไม่มีส่วนที่เป็นก้านใบชัดเจน� สีของใบเป็นสีเขียวสด� บางชนิดเป็นสีม่วงคล้ำ� บางชนิดก็มีลวดลาย

    ดอก
    ออกที่ปลายลำต้น� ซอกใบหรือข้างลำต้น� ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ� แต่ละดอกมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบเรียงสลับกันกับกลีบดอก 3 กลีบ� กลีบดอกอันล่างมีลักษณะต่างออกไปเรียกว่ากลีบปากหรือกลีบกระเป๋าไว้สำหรับ ล่อแมลง� ก้านเกสรตัวเมียและยอดเกสรตัวเมียเชื่อมติดกันกับเกสรตัวผู้เป็นเส้า เกสรอยู่กลางดอก� เกสรตัวผู้อยู่รวมกันเป็นก้อนเป็นกลุ่มเรณู� แต่ละอับเรณูมีฝาปิด� มี 2, 4 หรือ 8 ก้อนแล้วแต่ชนิดกล้วยไม้� ยอดเกสรตัวเมียอยู่ใต้อับเรณู� มีลักษณะเป็นเมือกเหนียว� รังไข่อยู่ตรงส่วนของก้านดอก� เมื่อได้รับการผสมจะเจริญไปเป็นเมล็ดต่อไป

    ฝัก/ผล
    ฝัก กล้วยไม้ ภายในฝักมีเมล็ด กล้วยไม้มีอายุตั้งแต่ผสมเกสรไปจนถึงฝักแก่จะแตกต่างกันไปตามชนิดของกล้วย ไม้ร่วมกับสภาพสิ่งแวดล้อมและความสมบูรณ์ขององค์ประกอบในการเจริญงอกงามด้วย กล้วยไม้บางชนิดอาจจะฝักแก่ได้ในระยะเวลาเพียงเดือนกว่าเท่านั้น แต่มีกล้วยไม้บางชนิดซึ่งมีฝักอยู่กับต้นถึงปีครึ่งถึงจะแก่ ฝักกล้วยไม้ในประเภทไม่แตกกอ มักจะติดอยู่กับก้านในลักษณะตั้งเอาปลายชี้ขึ้น แต่ฝักกล้วยไม้ประเภท แตกกอมักจะห้อยปลายลงเป็นส่วนมาก เช่น ฝักของกล้วยไม้สกุลหวาย เป็นต้น แต่ละฝักมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ 1,600 - 4,000,000 เมล็ด

    เมล็ด
    เมล็ดมีลักษณะเรียวยาวหรือป่องกลางคล้ายลูกรักบี้ เมล็ดมีขนาดเล็กมาก มีแต่คัพภะ แต่ไม่มีอาหารสะสมมีเปลือกบางๆ หุ้มเมล็ดอยู่ มีน้ำหนักเมล็ดประมาณ 0.003 – 0.0014 มิลลิกรัม มีสีแตกต่างกันไป เช่น น้ำตาล เทา เหลือง หรือขาว และด้วยเหตุที่เมล็ดกล้วยไม้มีขนาดเล็กมาก จึงอาจปลิวกระจายไปตามลมได้ง่ายและเป็นระยะทางไกล ๆ

    การจำแนกกล้วยไม้

    1. การจำแนกตามลักษณะราก
    ����เป็นการจำแนกตามลักษณะรากหรือตามระบบรากของกล้วยไม้

    ระบบรากดิน
    จัดเป็นกล้วยไม้� ที่มี ระบบรากเกิดจากหัวที่ อวบน้ำอยู่ใต้ดิน ตัวราก จะมีน้ำมาก เช่นกล้วยไม้สกุลนางอั้ว กล้วยไม้ประเภทนี้พบมากบริเวณพื้นที่ที่มีสภาพอากาศ ในฤดูกาลที่ชัดเจน เช่นฤดูฝนมีฝนตกชุกและมีฤดูแล้ง เมื่อถึงฤดูฝนหัวจะแตกหน่อ ใบอ่อนจะชูพ้นขื้นมาบนผิวดินและออกดอกในตอนปลายฤดูฝนเมื่อพ้นฤดูฝน ไปแล้วใบก็จะทรุดโทรมและแห้งไปคงเหลือแต่หัวที่อวบน้ำและมีอาหารสะสม ฝังอยู่ใต้ดินสามารถทนความแห้งแล้งได้

    ระบบรากกึ่งดิน
    มีรากซึ่งมีลักษณะอวบน้ำใหญ่หยาบและแตกแขนงแผ่กระจายอย่างหนาแน่นสามารถเก็บสะสมน้ำได้ดีพอสมควร กล้วยไม้ประเภทนี้พบอยู่ตามอินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อยผุพังร่วนโปร่ง กล้วยไม้ที่มีระบบรากกึ่งดิน ได้แก่ กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี สกุลสเปโธกล๊อตติส สกุลเอื้องพร้าว เป็นต้น

    ระบบรากกึ่งอากาศ
    เป็นระบบรากที่มีเซลล์ผิวของรากมีชั้นเซลล์ที่หนาและมีลักษณะคล้ายฟองน้ำผิวนอกเกลี้ยงไม่มีขน มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เก็บและดูดน้ำได้มาก สามารถนำ น้ำไปใช้ตามเซลล์ผิวได้ตลอดความยาวของราก� ระบบรากกึ่งอากาศมักมีรากแขนงใหญ่หยาบอยู่กันอย่างหนาแน่นไม่มีรากขนอ่อน รากมีขนาดเล็กกว่ารากอากาศ กล้วยไม้ระบบรากกึ่งอากาศได้แก่ กล้วยไม้สกุลแคทลียา สกุลออนซิเดี้ยม เป็นต้น

    ระบบรากอากาศ
    กล้วยไม้ที่มีระบบรากเป็นรากอากาศ จะมีรากขนาดใหญ่ แขนงรากหยาบ เซลล์ที่ ผิวรากจะทำหน้าที่ดูดน้ำ เก็บน้ำและนำน้ำไปตามรากได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถ ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี รากอากาศไม่ชอบอยู่ในสภาพเปียกแฉะนานเกินไป นอกจากนั้นปลายรากสดมีสีเขียวของคลอโรฟีลล์สามารถทำหน้าที่ปรุงอาหารได้ เช่น เดียวกับใบเมื่อมี� แสงสว่าง เพราะ ฉะนั้น รากประเภทนี้ จึงไม่ หลบแสงสว่างเหมือน รากต้นไม้ดินทั่วๆ ไป กล้ายไม้ที่มีระบบรากอากาศได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลช้าง สกุลกุหลาบ สกุลแมลงปอ สกุลเข็ม และกล้ายไม้ สกุลเรแนนเธอร่า

    2. การจำแนกตามลักษณะต้น
    �����สำหรับลำต้นของกล้วยไม้ที่โผล่พ้นจากเครื่องปลูกแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ลำต้นแท้ และลำต้นเทียม

    ลำต้นแท้
    คือจะมีข้อ ปล้อง เหมือนกับลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วๆ ไป ที่ส่วนเหนือข้อจะมีตา ซึ่งสามารถเจริญเป็นหน่อใหม่ และช่อดอกได้ ลำต้นประเภทนี้จะเจริญเติบโตออกไปทางยอด ได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า แมลงปอ และรองเท้านารี

    ลำต้นเทียม
    หรือที่เรียกว่า ลำลูกกล้วย ซึ่งทำหน้าที่สะสมอาหาร ตาที่อยู่ตามข้อบนๆ ของลำลูกกล้วยสามารถแตกเป็นหน่อหรือช่อดอกได้ แต่ลำต้นที่แท้จริงของกล้วยไม้ประเภทนี้คือ เหง้า ซึ่งเจริญในแนวนอนไปตามผิวของเครื่องปลูก ลักษณะของเหง้ามีข้อและปล้องถี่ กล้วยไม้ที่มีลำต้นลักษณะนี้ได้แก่ กล้วยไม้สกุลหวาย แคทลียา เอพิเด็นดรั้มและสกุลออนซิเดี้ย

    กล้วยไม้สกุลต่างๆ

    1. กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี ( Paphiopedilum)
    มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น รองเท้านาง รองเท้าแตะนารี หรือ บุหงากะสุต ในภาษามาเลเซีย อันหมายถึงรองเท้าของสตรี เนื่องจากกลีบดอก หรือที่เรียกว่า “กระเป๋า” มีรูปร่างคล้ายกับรองเท้าของสตรีและรองเท้าไม้ของชาวเนเธอแลนด์ กระเป๋าของรองเท้านารีมีรูปร่างลักษณะและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
    กล้วยไม้รองเท้านารี มีแหล่งกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และเขตร้อนแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดีย ฟิลิปปินส์ พม่า มาเลเซีย และในประเทศไทยซึ่งพบกล้วยไม้รองเท้านารีขึ้นอยู่ในป่าทั่วๆ ไป บางชนิดเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินหรือซอกหินที่มีต้นไม้ใบหญ้าเน่าตายทับถมกัน เจริญงอกงามในที่โปร่ง ไม่ชอบที่รกทึบ แสงแดดส่องถึง��

    รองเท้านารีอินทนนท์
    รองเท้านารีเหลืองปราจีน
    รองเท้านารีเมืองกาญจน์
    รองเท้านารีอ่างทอง
    รองเท้านารีสุขะกุล
    รองเท้านารีเหลืองกระบี่
    รองเท้านารีคางกบ
    รองเท้านารีฝาหอย
    รองเท้านารีขาวสตูล
    รองเท้านารีเหลืองตรัง
    รองเท้านารีเหลืองพังงา
    รองเท้านารีม่วงสงขลา

    2. กล้วยไม้สกุลแคทลียา� (Catteya)
    แคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่ ได้รับความนิยมปลูกเลี้ยงอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ เนื่องจากแคทลียา เป็นกล้วยไม้ที่มีดอกขนาดใหญ่ที่สุด� และสีสวยงามที่สุดบางชนิดมีกลิ่นหอม และถือ กันว่าแคทลียาเป็น ราชินีแห่งกล้วยไม้ และเป็นสัญญลักษณ์สากลของกล้วยไม้ทั่วไป แคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่มีถิ่น กำเนิด�� อยู่ในเขตร้อนแถบอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ตอนเหนือเป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโต และมีรูปทรงแบบ ซิมโพเดี้ยล คือมีเหง้าแนบ ไปตามเครื่องปลูก เหง้าอาจจะมีทั้งยาวและสั้นรากงอกเจริญจากเหง้าไม่มี รากแขนง เป็นระบบรากกึ่งอากาศดูดอาหารจากอากาศและเครื่องปลูก�

    แคทลียา1
    แคทลียา2
    แคทลียา3
    แคทลียาลูกผสม2สกุล
    (ลีลิโอแคทลียา)
    แคทลียาลูกผสม2สกุล
    (บรัสโซแคทลียา)
    แคทลียาลูกผสม2สกุล
    (เอพิแคทลียา)
    แคทลียาลูกผสม3สกุล
    (บรัสโซลีลิโอแคทลียา)
    แคทลียาลูกผสม3สกุล
    (เอพิลีลิโอแคทลียา)
    แคทลียาลูกผสม3สกุล
    (เอพิคาโทเนีย)
    แคทลียา4
    แคทลียาลูกผสม2สกุล
    (ชอมบูแคทลียา)
    แคทลียาลูกผสม3สกุล
    (ดีเคนสารา)

    3. กล้วยไม้สกุลเข็ม� (Ascocentrum)�
    ได้สมญาว่าเป็น�� “ราชินีของกล้วยไม้แวนด้าแบบมินิ หรือ แบบกระเป๋า”เพราะเป็นกล้วยไม้ที่มีลักษณะเล็กทั้งขนาดต้นช่อดอกขนาดดอกและมีดอกที่มีสีสดใสสะดุดตามากกว่ากล้วยไม้ อื่นๆ ในธรรมชาติพบ� กล้วยไม้สกุลนี้� กระจายพันธุ์อยู่ใน� ทวีปเอเชีย ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทยลงไปถึง อินโดนีเซีย และ�� ฟิลิปปินส์� จัดเป็นกล้วยไม้�� ประเภทไม่แตกกอ�� มีการเจริญเติบโตขึ้นไปทาง ส่วนยอด เช่น เดียวกับกล้วยไม้สกุลช้าง สกุลแวนด้า สกุลกุหลาบ มีลำต้นสั้นใบเรียงแบบซ้อนทับกันรากเป็นระบบรากอากาศ ออกดอก ตามข้อของลำต้น� ระหว่างใบ ช่อดอกตั้งตรงเป็นรูปทรงกระบอก จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทแวนด้า ที่มีดอกขนาดเล็ก ในประเทศไทยมีกล้วยไม้ สกุลเข็มแท้อยู่ 4� ชนิดคือ เข็มแสด เข็มแดง เข็มม่วง และเข็มหนู แต่ ที่มีบทบาทสำคัญในการผสมปรับปรุงพันธุ์ คือ เข็มแดง เข็มแสด และเข็มม่วง

    เข็มแดง
    เข็มแสด
    เข็มม่วง
    เข็มหนู

    4. กล้วยไม้สกุลแวนด้า�� (Vanda)
    �������แวนด้าเป็นกล้วยไม้ ประเภทโมโนโพเดี้ยล ไม่แตกกอ เจริญเติบโตไปทางยอด รากเป็นรากอากาศ ใบมีลักษณะกลม แบนหรือร่อง ใบซ้อนสลับกัน ช่อดอกจะออกด้านข้างของลำต้น สลับกับใบ ช่อดอกยาวและแข็ง กลีบนอกและกลีบในมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน โคนกลีบแคบ และไปรวมกันที่โคน เส้าเกสร กลีบดอกในล่างด้านใต้มีเดือยแหลมยื่นออกมาเป็นส่วนท้ายของปากกระเป๋าปาก กระเป๋าของแวนด้าเป็นแบบธรรมดาแบนเป็นแผ่นหนาแข็ง และพุ่งออกด้านหน้า รูปลักษณะคล้ายช้อน หูกระเป๋าทั้งสองข้างแข็ง และตั้งขึ้น สีดอกมีมากมายแตกต่างกันตามแต่ละชนิด

    แวนด้าใบกลม
    แวนด้าใบแบน
    แวนด้าก้างปลา
    แวนด้าใบร่อง

    5. กล้วยไม้สกุลกุหลาบ (Aerides)
    �������เป็นกล้วยไม้ที่พบตามธรรมชาติในป่าทั่วทุกภาคของประเทศไทยและประเทศใน�� แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้อาจขึ้น เป็นต้นเดียวโดดๆหรือขึ้นเป็น กลุ่มใหญ่มีการเจริญ เติบโตแบบฐานเดี่ยวบางต้นมียอดเดียวบางต้นแตกเป็นกอมีหลายยอดเมื่อต้นสูงหรือยาวขึ้นจะห้อยย้อยลงมาแต่ปลาย ยอด ยังคงชี้ขึ้นข้างบนช่อดอกส่วนใหญ่ โค้งปลายช่อห้อยลงมารากเป็น ระบบรากอากาศดอกมี ขนาดปานกลางมักมีกลิ่นหอมมีเดือยดอกเรียวแหลมหรือปลายงอนออกมาทางด้านหน้าของดอกซึ่งเป็น ลักษณะที่แตกต่างกับกล้วยไม้ชนิด อื่นๆ กลีบดอกผึ่งผายสวยงามสะดุดตาเป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่ายมี บทบาทสำคัญในการผสมพันธุ์เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ สามารถผสมในสกุลเดียวกัน และผสมข้ามสกุลต่างๆ เช่นผสมกับสกุลแวนด้าเป็นสกุลแอริโดแวนด้า (Aeridovanda) ผสมกับสกุลช้างเป็นสกุลแอริโดสไตลิส(Aeridostylis)

    กุหลาบกระเป๋าปิด
    กุหลาบกระเป๋าเปิด
    กุหลาบอินทจักร
    กุหลาบน่าน
    กุหลาบเหลืองโคราช
    กุหลาบมาลัยแดง
    กุหลาบแดง
    กุหลาบพวงชมพู

    6. กล้วยไม้สกุลฟาแลนอปซีส�� (Phalaenopsis)
    �������มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ� และกระจายพันธุ์อยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ บอร์เนียว ชวา สุมาตรา มาเลเซีย สำหรับประเทศไทย มีกล้วยไม้สกุลนี้อยู่ 2-3 ชนิด เช่น เขากวาง กาตาฉ่อ ขนาดของดอกใหญ่และเล็กตามลักษณะ ของพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกกันอยู่ในขณะนี้เป็นพันธุ์ลูกผสมที่มีการปรับปรุงพันธุ์และผสมกันมา หลายทอดจนดอกกลม ใหญ่ลักษณะของลำต้นทรงเตี้ยตรง การเจริญเติบโตเป็นแบบโมโนโพเดี้ยลใบอวบน้ำ ค่อนข้าง หนาแผ่แบนรูป คล้ายใบพาย ดอกกลมใหญ่ ขนาดกว้างประมาณ 5-8 ซม. กลีบหนา ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู สีเหลือง มองดูดอกแล้วงาม ทั้งฟอร์มดอกและสี ก้านช่อยาว บางช่อยาวถึง 80 ซม.ช่อหนึ่ง มีหลายดอก เรียงไปตามก้านช่ออย่างมีระเบียบ บางต้นแยกออกเป็นหลายช่อ ดอกบานทน ถ้าบานอยู่กับต้น สามารถบานอยู่ ได้นานเป็นเดือน เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่ายสามารถเจริญงอกงามและออกดอกให้ได้ดีใน สภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังสามารถผสมข้ามสกุลกับสกุลกล้วยไม้สกุลต่างๆ ได้หลายสกุล เช่น ผสมกับสกุลแวนด้า ผสมกับสกุลอะแรคนิส ผสมกับสกุลเรแนนเทอร่า เป็นต้น

    เขากวาง
    กาตาฉ่อ

    7. กล้วยไม้สกุลช้าง� (Rhynchostyliis)��
    ที่มีอยู่ในโลกมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศในแถบอินโดจีน อินเดีย ศรีลังกา ภาคใต้ของหมู่เกาะในทะเลจีน และหมู่เกาะอินเดียตะวันออก สำหรับในประเทศไทยพบว่ากล้วยไม้สกุลช้างมีกระจายพันธุ์อยู่ทุกภาคของประเทศ บางภาคอาจมีกล้วยไม้สกุลช้างชนิดหนึ่งแต่อาจไม่มีอีกชนิดหนึ่ง กล้วยไม้สกุลช้างที่พบตามธรรมชาติเพียง 4 ชนิด คือ ช้าง (Rhynchostylis gigantea) ไอยเรศหรือพวงมาลัย (Rhynchostylis retusa) เขาแกะ (Rhynchostylis coelestis) และช้างฟิลิปปินส์ (Rhynchostylis violacea) สำหรับ 3 ชนิดแรกมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย และ ประเทศใกล้เคียง ส่วนช้างฟิลิปปินส์มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์

    ไอยเรศ
    เขาแกะ

    8. กล้วยไม้สกุลหวาย(Dendrobium)
    �������เป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่ที่สุด มีการแพร่กระจายพันธุ์ออกไปในบริเวณกว้างทั้งในทวีปเอเซียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นักพฤกษศาสตร์ได้จำแนกออกเป็นหมู่ประมาณ 20 หมู่ และรวบรวมกล้วยไม้ชนิดนี้ที่ค้นพบแล้วได้ประมาณ 1,000 ชนิดพันธุ์
    �������กล้วยไม้สกุลหวาย มีลักษณะการเจริญเติบโตแบบซิมโพเดียล คือ มีลำลูกกล้วย เมื่อลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะแตกหน่อเป็นลำต้นใหม่และเป็นกอ ใบแข็งหนาสีเขียว ดอกมีลักษณะทั่วไปของกลีบชั้นนอกคู่บนและคู่ล่างขนาดยาวพอๆ กันโดยกลีบชั้นนอกบนจะอยู่อย่างอิสระเดี่ยวๆ ส่วนกลีบชั้นนอกคู่ล่างจะมีส่วนโคน ซึ่งมีลักษณะยื่นออกไปทางด้านหลังของส่วนล่างของดอกประสานเชื่อมติดกับฐานหรือสันหลังของเส้าเกสร และส่วนโคนของกลีบชั้นนอกคู่ล่างและส่วนฐานของเส้าเกสรซึ่งประกอบกันจะปูดออกมา มีลักษณะคล้ายเดือยที่เรียกว่า “เดือยดอก” สำหรับกลีบชั้นในทั้งสองกลีบมีลักษณะต่างๆ กันแล้วแต่ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้นั้นๆ

    เอื้องผึ้ง
    เอื้องม่อนไข่
    เหลืองจันทบูร
    พวงหยก
    เอื้องช้างน้าว
    มัจฉานุ
    เอื้องเงินหลวง
    เอื้องเงิน
    เอื้องเงินแดง
    เอื้องมะลิ
    เอื้องสายประสาท
    เอื้องไม้ตึง
    เอื้องแปรงสีฟัน
    เอื้องครั่ง
    เอื้องคำ
    แววมยุรา

    9. กล้วยไม้สกุลสิงโตกลอกตา(Bulbophyllum)
    �������เป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่ พบตามธรรมชาติประมาณ 1,000 ชนิด มากเป็นอันดับสองรองจากกล้วยไม้สกุลหวาย พบกระจายพันธุ์แถบทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเชีย แถบแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หมู่แกะแปซิฟิก และบางส่วนกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปแอฟริกา สำหรับประเทศไทยพบกระจัดกระจายตามธรรมชาติในทั่วทุกภาคของประเทศประมาณ 140 ชนิด และแต่ละชนิดมักใช้คำว่า "สิงโต" นำหน้า กล้วยไม้สิงโตกลอกตาเป็นกล้วยไม้ที่มีการเติบโตแบบ Sympodial เช่นเดียวกับ กล้วยไม้สกุลหวาย สกุลคัทลียา มีเหง้าและลำลูกกล้วย ซึ่งต่างกันแล้วแต่ชนิด มีทั้งชนิดที่มีลำลูกกล้วยขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ บางชนิดลำลูกกล้วยตั้งตรง บางชนิดนอนราบไปกับเหง้า มีใบที่ปลายลำลูกกล้วยหนึ่งหรือสองใบแล้วแต่ชนิด มีตั้งแต่ใบเล็กมากจนถึงใบค่อนข้างใหญ่ ดอกมีทั้งดอกเดี่ยวและดอกช่อ ก้านช่อดอกเกิดที่ฐานของลำลูกกล้วย บางชนิดเกิดที่ข้อของเหง้า ดอกมีตั้งแต่ขนาดเล็กมากจนถึงค่อนข้างใหญ่ ลักษณะดอกและสีสันสวยงามแตกต่างกันแล้วแต่ชนิด

    สิงโตพัดแดง
    สิงโตร่มใหญ่
    สิงโตก้ามปูแดง
    สิงโตอาจารย์เต็ม
    สิงโตสยาม
    สิงโตงาม
    สิงโตรวงข้างฟ่าง
    สิงโตรวงข้าว
    สิงโตรวงทอง
    สิงโตตาแดง
    สิงโตแดง
    สิงโตนกเหยี่ยวใหญ่
    สิงโตนกเหยี่ยวเล็ก
    สิงโตสมอหิน
    สิงโตใบพาย
    สิงโตลินด์เลย์

     

    การปลูกกล้วยไม้


    วิธีการปลูกเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยบังคับการเจริญเติบโตของกล้วยไม้ ถ้าใช้วิธีการปลูกที่ไม่เหมาะสมกล้วยไม้ก็ไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร ดังนั้นผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงจำเป็นต้องศึกษาความต้องการของกล้วยไม้แต่ละชนิด เลือกภาชนะปลูกและเครื่องปลูก รวมทั้งวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับกล้วยไม้ชนิดนั้นๆ

    ภาชนะปลูก

    ภาชนะที่ใช้ในการปลูกกล้วยไม้มีส่วนสำคัญต่อการเจริญงอกงามของกล้วยไม้� ดังนั้นจึงควรจัดภาชนะปลูก ให้เหมาะกับการเจริญของรากกล้วยไม้แต่ละประเภท ภาชนะสำหรับ ปลูกกล้วยไม้มีหลายชนิด ดังนี้

    กระถางดินเผาทรงเตี้ย
    เป็นกระถางดินเผา ขนาดปากกว้าง 4 - 6� นิ้ว�� สูง� 2 - 4 นิ้วเจาะรูที่ก้นและรอบกระถาง�� เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ� เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง �การปลูกไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปลูกใดๆ��� หรืออาจใส่ถ่านไม้มะพร้าวสับวางให้โปร่งก็พอ วางต้นกล้วยไม้กลางกระถางแล้วใช้เชือกหรือลวดเส้นเล็กๆ ผูกติดกับก้นกระถาง

    กระถางดินเผาทรงสูง
    เป็นกระถางดินเผา ขนาดปากกว้าง� 3-4 นิ้ว สูง 4-5� นิ้ว เจาะรูที่ก้นและรอบกระถาง แต่รูน้อยกว่ากระถางทรงเตี้ย เหมาะกับกล้วยไม้ที่ต้องการเครื่องปลูกหรือกล้วยไม้รากกึ่งอากาศ เช่น แคทลียา หวายโดยปลูกด้วยกาบมะพร้าวอัดเรียงตามแนวตั้งจนแน่นยึดรากและโคนกล้วยไม้ตรงกลางกระถางให้แน่น

    กระเช้าไม้สัก
    ทำจากไม้สักหรือไม้ชนิดอื่น นิยมทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีขนาดตั้งแต่ขนาด 4 x 4 นิ้ว ถึง 10 x 10 นิ้ว� �เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ มีต้นใหญ่รากใหญ่ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง การปลูกด้วยกระเช้าไม้สัก ภายในไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปลูกใดๆ หรืออาจใส่ถ่านไม้ก้อนใหญ่ๆ 2 - 3 ก้อน วางให้โปร่งก็พอ วางต้นกล้วยไม้กลางกระถางแล้วใช้เชือกหรือลวดเส้นเล็กๆ ผูกติดกับก้นกระเช้า

    กระเช้าพลาสติก
    เป็นกระเช้าที่� ทำจากพลาสติกสีดำ ราคาถูก มีหลายแบบหลายขนาด แต่ที่นิยมใช้มี 2 ขนาด คือ ขนาดทรงเตี้ยใช้ปลูกกล้วยไม้แวนด้า และขนาดทรงสูงใช้ปลูกกล้วยไม้หวาย ลักษณะการปลูกเช่นเดียวกับกระถาง ดินเผา ทรงเตี้ยและกระถางดินเผาทรงสูง

    กระถางดินเผามีรูก้นกระถาง
    เป็นกระถางดินเผาชนิดเดียวกับที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่วไป มีรูระบายน้ำอยู่ที่ก้นกระถางเพียงรูเดียว ทั้งแบบทรงสูงทั่วไปและแบบทรงเตี้ย มีขนาดตั้งแต่ 4-10 นิ้ว นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดิน เช่น กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี สกุลเอื้องพร้าว สกุลคูลู และสกุลสเปโธกล๊อตติส

    ท่อนไม้ที่มีเปลือก
    โดยผูกกล้วยไม้ติดกับท่อนไม้ที่มีเปลือกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ฟุต ปลายหนึ่งของท่อนไม้ยึดติดกับลวดไว้สำหรับแขวนกับราว เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง สกุลแวนด้า

    ต้นไม้ใหญ่
    โดยการปลูกยึดติดกับต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศและรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง สกุลหวาย สำหรับกล้วยไม้ที่เป็นรากอากาศสามารถใช้ลวดหรือเชือกผูกติดกับต้นไม้ได้เลย แต่สำหรับกล้วยไม้ที่เป็นรากกิ่งอากาศให้หุ้มด้วยกาบมะพร้าวทับอีกชั้นหนึ่ง ยึดกาบมะพร้าวด้วยตาข่ายหรือซาแลนอีกชั้นหนึ่ง


    เครื่องปลูก

    วัสดุที่ใส่ลงไปในภาชนะที่ใช้ปลูกกล้วยไม้ เป็นที่เก็บอาหารเก็บความชื้น หรือปุ๋ยของกล้วยไม้ และเพื่อให้ รากของกล้วยไม้เกาะลำต้นจะได้ตั้งอยู่ได้ เครื่องปลูกที่เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตของรากกล้วยไม้ จะทำให้กล้วยไม้เจริญเติบโตได้ดีและแข็งแรง วัสดุที่นิยมใช้มีดังนี้

    กาบมะพร้าว
    เป็นเครื่องปลูกที่นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้มาก เพราะหาง่าย ราคาถูก วิธีทำคือใช้กาบมะพร้าวแห้งที่แก่จัด และมีเปลือก อัดตามยาวให้แน่นลงในกระถาง ตัดหน้าให้เรียบแล้วใช้แปรงลวดปัดหน้าให้เป็นขนเพื่อให้ดูดซับน้ำดีขึ้นเครื่องปลูกกาบมะพร้าวเป็นเครื่องปลูกที่ได้ความชื้นสูง เหมาะสำหรับกล้วยไม้ปลูกใหม่ �เพราะจะทำให้ตั้งตัวเร็ว จึงทำให้กล้วยไม้เจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกด้วยเครื่องปลูกชนิดอื่นๆ แต่มีข้อเสียคือมีอายุการใช้งานได้ ไม่นาน คือมีอายุใช้งานได้เพียงปีเดียว เครื่องปลูกก็ผุ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือเกิดตะไคร่น้ำได้ง่าย เนื่องจากกาบ มะพร้าวอมความชื้นไว้ได้มาก จึงควรรดน้ำให้น้อยกว่า

    ถ่าน
    ถ่านจัดเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่ดีชนิดหนึ่งเพราะ หาง่าย ราคาไม่แพง คงทนถาวร ไม่เน่าเปื่อยผุพังง่าย และดูดอมน้ำได้ดีพอเหมาะ ไม่ชื้นแฉะเกินไปยังช่วยดูดกลิ่นที่เน่าเสียและทำให้อากาศบริสุทธ์อีกด้วย แต่มีข้อเสียคือมักจะมีเชื้อรา

    ออสมันด้า
    เป็นเครื่องปลูกที่ได้มาจากรากของเฟิร์น� ลักษณะเป็นเส้นยาวสีน้ำตาลจนเกือบดำ ค่อนข้างแข็ง ก่อนที่จะใช้ต้องล้างให้สะอาดแล้วจึงอัดตามยาวลงไปในกระถาง� ก่อนที่จะอัดลงในกระถางควรรองก้นกระถางด้วยกระเบื้องแตกหรือถ่านประมาณครึ่งหนึ่งของกระถาง เพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวก ไม่ควรอัดออสมันด้าให้เต็มกระถาง ก่อนใช้ควรแช่น้ำหรือต้มเพื่อฆ่าเชื้อราเสียก่อน ออสมันด้าเป็นเครื่องปลูกที่ดี แต่ราคาค่อนสูง สามารถเลี้ยงกล้วยไม้ได้เจริญงอกงามสม่ำเสมอ มีอายุการใช้งาน 2-3 ปี แต่มีข้อเสียคือมีตะไคร่น้ำขึ้นหน้าเครื่องปลูกและเกิดเชื้อราได้ง่าย ออสมันด้าใช้ปลูกกล้วยไม้แบบรากกึ่งอากาศ� เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย สกุลคัทลียา

    อิฐหักและกระถางดินเผาแตก
    อิฐหัก อิฐดินเผา� และ กระถางดินเผาแตก ใช้เป็นเครื่องปลูกรองก้นกระถางสำหรับปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากกึ่งอากาศ โดยมีออสมันด้า กาบมะพร้าว ถ่านป่น อย่างใดอย่างหนึ่ง อัดหรือโรยไว้ข้างบนเพื่อให้ด้านล่างของกระถาง� หรือภาชนะปลูกโปร่งอากาศถ่ายเทสะดวก และเป็นการช่วยในการระบายน้ำในกระถางได้ดีขึ้น


    วิธีการปลูก

    การล้างลูกกล้วยไม้
    คือการล้างลูกกล้วยไม้จากการเพาะเนื้อเยื่อ ออกจากขวดเพาะแล้วล้างให้หมดเศษวุ้นอาหาร นำจุ่มลงในน้ำยานาตริฟินในอัตราส่วนน้ำยา 1 ส่วน ต่อน้ำสะอาด 2,000 ส่วน แล้วนำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม แยกลูกกล้วยไม้ออกเป็น 2 ขนาด คือ ขนาดเล็กกับขนาดใหญ่พอที่จะปลูกลงในกระถางนิ้ว

    การปลูกลูกกล้วยไม้ขนาดเล็ก
    ลูกกล้วยไม้ขนาดเล็กให้ปลูกในกระถางหมู่หรือกระถางดินเผา ทรงสูง ขนาด 4-6 นิ้ว รองก้นกระถางด้วยถ่านขนาดประมาณ 1 นิ้ว สูงจนเกือบถึงขอบล่างของกระถาง แล้วโรยทับด้วยออสมันด้าหนา ประมาณ 1 นิ้วให้ระดับออสมันด้าต่ำกว่าขอบกระถางประมาณครึ่งนิ้ว ใช้มือข้างหนึ่งจับไม้กลมๆ เจาะผิวหน้าออสมันด้าใน กระถาง ให เป็นรูลึกและกว้างพอสมควร ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับปากคีบ คีบลูกกล้วยเบาๆเอารากหย่อนลงไปในรูที่เจาะไว้ให้ยอดตั้งตรง แล้วกลบออสมันด้าลงไปในรูปให้ทับรากจนเรียบร้อยควรจัดระยะห่างระหว่างต้นให้พอดี� กระถางหมู่ขนาดปากกว้าง 4 นิ้ว ปลูกลูกกล้วยไม้ได้ประมาณ 40-50 ต้น

    การปลูกลูกกล้วยไม้ขนาดใหญ่
    ลูกกล้วยไม้ที่ต้นใหญ่ให้ปลูกในกระถางขนาด 1 นิ้ว ใช้ไม้แข็งๆ ค่อยๆแคะออสมันด้าในกระถางตามแนวตั้งออกมา ใช้นิ้วมือรัดเส้นออสมันด้าให้คงเป็นรูปตามเดิม ค่อยๆแบะออสมันด้าให้แผ่บนฝ่ามือ หยิบลูกกล้วยไม้มาวางทับให้โคนต้นอยู่ในระดับผิวหน้าตัดของออสมันด้าพอดี หรือต่ำกว่าเล็กน้อย แล้วรวบออสมันด้า เข้าด้วยกัน นำกลับไปใส่กระถางตามเดิม เสร็จแล้วนำเข้าไปเก็บไว้ในเรือนเลี้ยงลูกกล้วยไม้ สำหรับลูกกล้วยไม้ ขนาดเล็กที่อยู่ในกระถางหมู่มาเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือนขึ้นไป มีลำต้นใหญ่แข็งแรงพอสมควรแล้ว ควร� ย้ายไปปลูกลงในกระถางนิ้ว โดยนำกระถางหมู่ไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที ค่อยๆแกะรากที่จับกระถางและเครื่องปลูกออก แยกเป็นต้นๆ นำไปปลูกลงในกระถางนิ้วเช่นเดียวกัน

    การปลูกลงในกระเช้า
    เมื่อลูกกล้วยไม้ในกระถางนิ้วมีรากเจริญแข็งแรงดี มีใบยาวประมาณ ข้างละ� 2 นิ้ว� ซึ่งจะใช้เวลาในการปลูกประมาณ 6 - 7 เดือน ก็นำไปลงปลูกในกระเช้าไม้ ขนาด 3-5� นิ้ว ด้วยการนำกระถางนิ้วไปแช่น้ำประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้แกะออกจากกระถางได้ง่าย ใช้นิ้วดันที่รูก้นกระถาง� ทั้งต้นและออสมันด้าจะหลุดออกมา มือข้างหนึ่งจับออสมันด้าและลูกกล้วยไม้วางลงตรงกลางกระเช้าที่เตรียมไว้ มืออีกข้างหนึ่งหยิบก้อนถ่านไม้ขนาด พอเหมาะใส่ลงไปในช่องระหว่างออสมันด้ากับผนังของกระเช้า ให้พยุงลำต้นได้ นำไปแขวนไว้ในเรือนกล้วยไม้

    การย้ายภาชนะปลูก
    เมื่อลูกกล้วยไม้มีใบยาว 4- 5 นิ้วควรจะย้ายไปปลูกในกระเช้าไม้ ขนาด 8-10 นิ้ว โดยสวมกระเช้าเดิมลงไปในกระเช้าใหม่� เพื่อมิให้รากกระทบกระเทือน ใช้ก้อนถ่านไม้ก้อนใหญ่ๆ� วางเกยกันโปร่งๆหรือจะไม่ใช้เลยก็ได้�� เนื่องจากกล้วยไม้ไม่ต้องการเครื่องปลูกที่แน่นและชื้นแฉะเป็นเวลานานๆ ถ้าไม่ต้องการสวมกระเช้าเดิมลงไปก็นำกระเช้าเดิมไปแช่น้ำก่อน เพื่อให้แกะรากที่จับติดกระเช้าออกได้ง่าย นำต้นที่แกะออกแล้ววางตรงกลางกระเช้าให้ยอดตั้งตรงมัดรากบางราก ให้ติดกับซี่พื้นด้านข้างของกระเช้า

    การตกแต่งกล้วยไม้ต้นใหญ่ก่อนปลูก
    สำหรับกล้วยไม้ลำต้นใหญ่ที่ได้มาจากที่อื่นหรือจากการแยกหน่อ จะต้องตัดราก และใบที่เน่าหรือเป็นแผลใหญ่ๆ ทิ้งเสียก่อน รากบางส่วนที่ยังดีแต่ยาวเกินไปอาจตัดให้สั้นจนเกือบถึงโคนต้น แล้วทาแผลที่ตัดทุกแผลด้วยปูนแดง �หรือยาป้องกันโรค เช่น ออร์โธไซด์ 50 ผสมน้ำให้เละมากๆ นำต้นกล้วยไม้ลงปลูกในกระเช้าไม้ซึ่งมีขนาดเหมาะสมกับลำต้น


    การบำรุงดูแลรักษากล้วยไม้

    การเจริญเติบโตของกล้วยไม้
    การเจริญเติบโตของกล้วยไม้ทุกชนิด อาศัยปัจจัยตามธรรมชาติ 4 ประการ คือ
    1. แสงสว่าง (Light) ช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสง มีอิทธิพลต่อสีของใบกล้วยไม้ ความยาวของลำต้น และความเร็วในการออกดอก ถ้าแสงสว่างน้อยใบจะมีสีเขียวเข้ม ลำต้นสูงชะลูดแบบบาง เปราะ หักง่าย และจะออกดอกช้า
    2. ความชุ่มชื่น (Humidity) เป็นตัวลำเลียงสารต่าง ๆ ภายในเซลล์ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในเนื้อเยื่อ ต่าง ๆ ทำให้กล้วยไม้สดชื่น และคงรูปร่างอยู่ได้
    3. อุณหภูมิ (Temperature) มีผลต่อกระบวนการในการสังเคราะห์ด้วยแสงและการดูดน้ำของกล้วยไม้
    4. บรรยากาศ (Atmospheric Air)ก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ในอากาศมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง ก๊าซออกซิเจนที่กล้วยไม้หายใจก่อให้เกิดเป็นพลังงานที่นำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ต่าง ๆ อากาศเป็นสื่อถ่ายเทความชื้นและความร้อยหนาวให้แก่ต้นกล้วยไม้ด้วย ปัจจัยสำคัญเหล่านี้จะต้องมีความพอเหมาะ กับความต้องการของกล้วยไม้เป็นสำคัญ



    การให้น้ำ
    น้ำที่ใช้รดกล้วยไม้ต้นอ่อนและต้นที่โตแล้วจะต้องเป็นน้ำที่ใสสะอาดไม่มีตะกอนขุ่น ไม่มีกลิ่น มีความเป็นกรดอ่อน ถึงเป็นกลาง คือมีค่า pH ประมาณ 5-7 เพราะน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ จะช่วยละลายธาตุอาหารบางอย่าง เช่นพวกเกลือฟอสเฟตให้ต้นกล้วยไม้ดูดเอาไปใช้เป็นอาหารได้ดี และปริมาณเกลือแร่ต่าง ๆ ที่ละลายในน้ำมีน้อย น้ำฝนเป็นน้ำรดกล้วยไม้ที่ดีที่สุด รองลงไปคือน้ำประปา ส่วนน้ำบาดาลนั้นแต่ละท้องที่อาจจะมีเกลือแร่ต่าง ๆ เจือปนอยู่ไม่เหมือนกัน ควรตรวจสอบก่อนใช้ และอาจต้องกรองแยกสนิมเหล็ก รวมทั้งปรับค่า pH ให้พอเหมาะเสียก่อน หากใช้ไปแล้วประมาณ 2-3 ปี คุณภาพของน้ำบาดาลก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นได้ น้ำจากแม่น้ำ ลำคลองที่สะอาด ไม่มีขยะเจือปน ก่อนใช้ควรกรองหรือปล่อยให้ตกตะกอนและปรับระดับค่า pH ส่วนน้ำบ่อนั้นหากเป็นบ่อขุดใหม่อาจมีเกลือแร่ที่เป็นอันตรายต่อกล้วยไม้อยู่มาก ควรตรวจสอบก่อนใช้เช่นกัน



    อุปกรณ์สำหรับให้น้ำกล้วยไม้ มีดังนี้
    (1) เครื่องพ่นน้ำขนาดเล็กแบบสูบลมด้วยมือ เหมาะสำหรับใช้พ่นน้ำแก่ลูกกล้วยไม้อ่อน
    (2) บัวรดน้ำชนิดฝอยละเอียด มีก้านบัวยาว เพื่อสามารถสอดก้านเข้าไปรดกระถางหรือกระเช้าซึ่ง
    แขวนอยู่บนราวในเรือนกล้วยไม้ได้สะดวก
    (3) หัวฉีดต่อกับสายยาง หัวฉีดเป็นชนิดที่พ่นน้ำเป็นละอองฝอยมีแรงกระแทกต่ำ ใช้รดน้ำได้สะดวก รวดเร็ว เหมาะสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เป็นจำนวนมาก
    (4) ระบบฝนเทียม ทำได้โดยการติดตั้งหัวฉีดพ่นน้ำเป็นฝอยไว้ทั่วเรือนกล้วยไม้เมื่อเปิดก๊อกหรือเดินเครื่องสูบน้ำ ก็จะมีฝอยน้ำทั่วโดยไม่ต้องใช้คนถือหัวฉีด ใช้เวลาน้อยแต่ควบคุมปริมาณการให้น้ำในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ให้มากน้อยได้ง่าย
    วิธีการให้น้ำลูกกล้วยไม้ในกระถางหมู่หรือกระถางนิ้วนั้น ในระยะ 2-3 วันแรกยังไม่ควรให้น้ำเนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนจากการนำออกจากขวดเพาะและการปลูก อาจทำให้รากหรือใบเน่าได้ง่าย หลังจากนั้นจึงพ่นน้ำเป็นละอองพอชื้น ๆ ด้วยเครื่องพ่นน้ำแบบสูบลมด้วยมือ วันละ 1-2 ครั้ง คือตอนเช้าและเย็น เมื่อนำกระถางหมู่หรือกระถางนิ้วไปไว้ในเรือนเลี้ยงกล้วยไม้แบบโปร่งแล้ว พ่นน้ำให้วันละ 2-3 ครั้ง ต่อมาเมื่อลูกกล้วยไม้เจริญเติบโตดี มีรากแข็งแรง และเดินได้ดีแล้วอาจจะรดด้วยบัวรดน้ำก็ได้


    การให้ปุ๋ย
    กล้วยไม้ต้องการปุ๋ยไปช่วยเสริมสร้างความเจริญเติบโตของส่วนต่าง ๆ เช่นเดียวกับพืชอื่น ๆ กล้วยไม้ที่อาศัยเกาะอยู่บนต้นไม้ก็จะได้อาหารจากเปลือกไม้ใบไม้ที่เน่าเปื่อยผุพังสลายตัวเป็นสารประกอบต่าง ๆ โดยการดูดซึมผ่านทางรากเข้าสู่ต้น แต่กล้วยไม้ที่นำมาปลูกไว้ในกระเช้าหรือกระถางไม่มีเปลือกไม้หรือใบไม้ เน่าเป็นอาหาร จึงจำเป็นต้องให้ปุ๋ย


    ข้อควรพิจารณาในการให้ปุ๋ย มีดังนี้
    1. การเลือกใช้ปุ๋ย�� เลือกใช้ปุ๋ยให้เหมาะกับชนิด และขนาดของกล้วยไม้และให้ถูกกับความประสงค์ของผู้ปลูก กล้วยไม้แต่ละชนิดต้องการปุ๋ยไม่เท่ากันกล้วยไม้ที่ปลูกในที่โล่งแจ้งและทนต่อแสงแดด เช่นกล้วยไม้สกุลหวาย ต้องให้ปุ๋ยมากกว่ากล้วยไม้ที่ปลูกในที่ค่อนข้างร่ม เช่นกล้วยไม้สกุลคัทลียา กล้วยไม้ที่ปลูกด้วยเครื่องปลูก เช่น กาบมะพร้าว ออสมันด้า เศษไม้ หรือปลูกให้ติดกับท่อนไม้ ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ สามารถสลายตัวให้ธาตุอาหารแก่กล้วยไม้ได้บ้าง ก็อาจจะให้ปุ๋ยน้อยกว่ากล้วยไม้ที่ปลูกด้วยถ่าน ก้อนหิน ก้อนกรวด หรือปลูกในกระเช้าไม้โดยไม่ใส่เครื่องปลูกเลย ลูกกล้วยไม้และกล้วยไม้ต้นใหญ่ก็ต้องการปุ๋ยไม่เหมือนกัน หรือผู้ปลูกต้องการให้กล้วยไม้ออกดอกเร็วขึ้น ราก ลำต้น ใบ เจริญเร็วขึ้น ก็ต้องเลือกใช้ปุ๋ยให้เหมาะสม
    2. น้ำ� น้ำที่ใช้ผสมกับปุ๋ยต้องเป็นน้ำสะอาด และต้องให้ปุ๋ยละลายในน้ำจนเต็มที่เสียก่อน จึงค่อยนำไปใช้รดกล้วยไม้
    3. เวลา เวลาที่เหมาะสมกับการให้ปุ๋ย ตั้งแต่เช้าตรู่จะกระทั่งประมาณ 11.00 น. เนื่องจากแสงแดดจะช่วย ให้กล้วยไม้ใช้ประโยชน์จากปุ๋ยได้เต็มที่ วันใดที่ครึ่มฟ้าครึ่มฝน แม้ว่าถึงกำหนดให้ปุ๋ยก็ไม่ควรทำเนื่องจากจะ ไม่มีประโยชน์ต่อกล้วยไม้เท่าที่ควร และฝนอาจชะล้างปุ๋ยไปเสียหมดก็ได้
    �4. ความถี่ในการให้ปุ๋ย�� ขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยไม้ สภาพเรือนกล้วยไม้เครื่องปลูกความเข้มของการ ให้ปุ๋ยแต่ละครั้ง เป็นต้น โดยทั่วไปจะให้ปุ๋ย 7-15 วันต่อครั้ง ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องแรงงานหรืออื่น ๆ ควรจะให้ปุ๋ยเข้มข้นน้อย ๆ แต่ให้บ่อยครั้งขึ้น


    วิธีการให้ปุ๋ย
    ในระยะแยกลูกกล้วยไม้ลงกระถางหมู่หรือกระถางนิ้วไม่ควรให้ปุ๋ย อาจทำให้รากเน่าได้ ต้องรอจนกว่ารากเริ่มเกาะเครื่องปลูกแล้ว ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงให้ปุ๋ยสูตรที่เร่งการเจริญของราก คือปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมสูงกว่าไนโตรเจน เช่น สูตร 10-24-24 หรือสูตร 10-52-17 ละลายน้ำในอัตราความเข้มข้นประมาณหนึ่งในสี่หรือครึ่งหนึ่งของคำแนะนำ โดยใช้เครื่องพ่นน้ำชนิดเป็นละออง พ่นน้ำปุ๋ยประมาณสัปดาห์ละครั้ง ควรให้ปุ๋ยตอนเช้าที่มีอากาศแจ่มใส ถ้าเห็นว่าลูกกล้วยไม้เจริญแข็งแรงดี รากเกาะเครื่องปลูกดีแล้ว อาจจะใช้ บัวรดน้ำปุ๋ยแทนการพ่นด้วยเครื่องพ่นก็ได้ เมื่อย้ายลูกกล้วยไม้จากกระถางนิ้วไปปลูกในกระเช้าไม้ ในระยะแรกยังไม่ควรให้ปุ๋ย รอให้รากเริ่มเกาะเครื่องปลูกหรือภาชนะปลูกแล้ว จึงให้ปุ๋ยสูตรเร่งราก คือปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนต่ำกว่าธาตุฟอสฟอรัสและ โปแตสเซียมจนเห็นว่ารากเจริญแข็งแรงดี จึงเปลี่ยนปุ๋ยเป็นสูตรเร่งความเจริญเติบโตของใบและต้น คือปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงกว่าธาตุฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมหรือใช้สูตรที่มีเรโชเท่ากัน ทุก ๆ 7-15 วัน
    5. ปริมาณ�� ควรให้ปุ๋ยในปริมาณและผสมน้ำตามส่วนที่ระบุไว้ในคำแนะนำ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าปริมาณปุ๋ยที่แนะนำจะเข้มข้นเกินไปหรือไม่ ก็ควรลดปริมาณปุ๋ยที่ผสมแต่ละครั้งลง และให้ปุ๋ยบ่อยครั้งขึ้นอุปกรณ์การให้ปุ๋ยก็เหมือนกับอุปกรณ์สำหรับใช้ในการให้น้ำกล้วยไม้นั่นเอง

     

    โรคและแมลงศัตรูกล้วยไม้

    โรคราดำ


    เป็นโรคที่พบเสมอกับกล้วยไม้ที่เลี้ยงไว้กับต้นไม้ใหญ่ ซึ่งตัวเชื้อรานั้นไม่ทำอันตรายต่อต้นและดอกเพียง แต่มันไปเกาะบนผิวเท่านั้น แต่อาจส่งผลมากถ้ามีการเกาะมากขึ้น ทำให้สังเคราะห์แสงได้น้อยลง
    สาเหตุ: เกิดจากเชื้อรา Meliola sp
    อาการของโรค: บริเวณใบและลำลูกล้วยไม้จะถูกปกคลุมด้วยผงดำๆ ของใยและสเปอร์ของเชื้อรามองดูคล้ายผงเขม่า ทำให้กล้วยไม้สกปรก
    การแพร่ระบาด: เชื้อราแพร่มาจากไม้ต้นใหญ่ เช่น มะม่วง ส้มโดยสเปอร์ปลิวมากับลมหรือติดมากับแมลงแล้ว ยังอาจแพร่ไปยังกล้วยไม้ต้นอื่นๆได้
    สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเป็นโรค: เชื้อรานี้มักขึ้นตามหยดน้ำหวาน หรือมูลที่เพลี้ยอ่อนเพลี้ยแป้งถ่ายออกมา และมักพบในบริเวณใกล้หรือใต้ต้นไม้ใหญ่
    การป้องกัน
    - แยกหรือทำลายต้นที่เป้นโรค
    - ใช้ยาฆ่าแมง ฉีดป้องกัน เช่น คาร์บาริล
    - ใช้ยาฆ่าเชื้อรา เช่น เบนโนมิล หรือ แมนโคเซบร่วมด้วยสารฟอสเฟต อัตรา 30-40 กรัม/ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบโรค7-10 วัน

     

    โรคเน่า


    เป็นโรคที่สำคัญ ระบาดได้กับกล้วยไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะกล้วยไม้ตระกูล หวาย แคทลียา ฟาแลนอปซิส เป็นต้น ลักษณะอาการเริ่มแรกเป็นจุดฉ่ำน้ำขนาดเล็กบนใบหรือหน่ออ่อน จากนั้นแผลจะเริ่มขยายขนาดขึ้น และเนื้อเยื่อเหมือนจะถูกน้ำร้อนลวก คือใบจะพองเป็นสีน้ำตาลและอาการเป้นจุดฉ่ำน้ำบนใบจะมีขอบสีเหลืองเห็นชัดเจน ภายใน 2 - 3 วัน เนื้อเยื่อใบกล้วยไม้จะโปร่งแสงเห็นร่างแหของเส้นใบ ถ้ารุนแรงต้นอาจตายได้ การแพร่ระบาดโรคจะเเพร่ระบาดรุนแรงรวดเร็วในสภาพอากาศร้อนและความชื้นสูง เช่นช่วงอากาศอบอ้าวก่อนที่ฝนจะตก
    การป้องกัน
    - เผาทำลายต้นเป็นโรค
    - ลูกกล้วยไม้ควรปลูกในโรงเรือน และถ้าเกิดมีโรคนี้เข้าแทรกซึม ควรงดให้น้ำสักระยะอาการเน่าจะหยุด ชะงักไม่ลุกลาม ระวังการให้น้ำมากเกินไปจนแฉะ
    -ไม่ควรปลูกกล้วยไม้แน่นเกินไป เพราะเครื่องปลูก จะอุ้มน้ำหรือชื้นแฉะตลอดเวลาเมื่ออากาศภายนอกร้าวอบอ้าว อากาศในเรืองเรือน จะทำให้เกิดเป็นโรคง่ายการให้ปุ๋ยไนรโตรเจนสูงมากเกินไปและมีโปแตสเซียมน้อย ทำให้ใบอวบหนา และการให้ปุ๋ยไม่ถูกสัดส่วนเร่งการเจริญเติบโต รวดเร็วต่อเนื่องเป็นเวลานานในช่วงฤดูร้อน เมื่อถึงฤดูฝนจะเกิดปัญหาโรคนี้ระบาด ทำให้ต้นอวบเหมาะแก่การเกิดโรค
    - การใช้สารเคมีป้องกันกำจัด ใช้สารปฏิชีวะนะ เช่น แอกกริมัยซิน ไฟโตมัยซิน แอกกริสสเตรป อัตรา 10-20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร แต่สารประเภทนี้มีข้อจำกัด ควรพ่นในช่วงเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดซึ่ง อาจทำให้สารเสื่อมฤทธิ์และไม่ควรผสมกับสารอื่นๆ ทุกชนิด
    หลักสำคัญในการป้องกันโรคโดยทั่วไป
    1. บำรุงกล้วยไม้ให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์
    2. การให้น้ำคำนึงถึงเวลาและอัตราที่เหมาะสม
    3. ทำความสะอาดฆ่าเชื้อเครื่องมือเครื่องใช้ในการตัด
    4. พักและแยกกล้วยไม้ที่นำเข้ามาใหม่
    5. ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันและหลังการใช้ทุกครั้ง
    6. อย่านำกล้วยไม้ที่เป็นโรคไปแพร่เชื้อ
    7. ศึกษาที่มาของโรค
    8. ศึกษานิสัยกล้วยไม้ที่ปลูก
    9. แยกกล้วยไม้ที่เป็นโรคออกรักษา
    10. น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด

    โรคแอนแทรกโนส


    สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Collectotrichum sp. เป็นโรคหนึ่งที่พบเสมอในกล้วยไม้สกุลออนซิเดี้ยม สกุลแคทลียา สกุลแวนด้า สกุลหวาย สกุลแมลงปอ ปอมปาดัวร์ และลูกผสมของกล้วยไม้สกุลต่างๆ เหล่านี้เชื้อราสามารถแพร่กระจายไปกับลมและฝนหรือน้ำที่ใช้รด
    ลักษณะอาการ
    ใบจะเป็นแผลวงกลมสีน้ำตาลอมแดงหรือสีน้ำตาลไหม้ ซึ่งขยายออกไปเป็นแผลใหญ่เห็นเป็นวงกลมซ้อนกันหลายชั้น เนื้อเยื่อที่เป็นแผลบุ๋มลึกลงไปต่ำกว่าระดับผิวใบเล็กน้อย กล้วยไม้บางชนิดมีขอบแผลเป็นเนื้อเยื่อสีเหลืองล้อมรอบแผล เช่น ลักษณะแผลของพวกแมลงปอ ฯลฯ บางชนิดแผลมีขอบสีน้ำตาลเข้มกว่าภายในและไม่มีขอบแผลสีเหลืองเลย เช่น แผลของกล้วยไม้ดินบางชนิด เนื้อเยื่อของแผลนานเข้าจะแห้งบางผิดปกติ ขนาดของแผลแตกต่างกันแล้วแต่สภาพแวดล้อม บางแห่งมีเชื้อราอื่นมาขึ้นร่วมภายหลังทำให้แผลขยายกว้างออกไปจนมีลักษณะที่เป็นแผลวงกลม อย่างอาการเริ่มแรกกล้วยไม้ที่มีใบอวบอมน้ำมาก เช่น แคทลียา ลูกผสมแมลงปอ และกล้วยไม้ดินบางชนิดใบจะเน่าเปื่อยถ้าฝนตกชุก แต่โดยปกติจะเป็นแผลแห้งติดอยู่กับต้น
    การป้องกันและกำจัด
    โดยเก็บรวบรวมใบที่เป็นโรคไปเผาทำลายเสีย เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดต่อไป และฉีดยาป้องกันกำจัดเชื้อราทุกๆ 7-15 วันต่อครั้งส่วนฤดูฝนต้องฉีดพ่นเร็วกว่ากำหนด เช่น 5-7 วันต่อครั้ง เป็นต้น

    โรคใบปื้นเหลือง


    สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Pseudocercospora dendrobii พบมากในกล้วยไม้หวายปอมปาดัวร์ ระบาดมากตั้งแต่ช่วงปลายฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว โดยสปอร์ของเชื้อราจะแพร่กระจายไปกับลมและกระเด็นไปกับละอองน้ำที่ใช้รดต้นกล้วยไม้
    ลักษณะอาการ
    จะเกิดบนใบของกล้วยไม้โดยเฉพาะที่อยู่โคนต้นก่อนโดยใบจะมีจุดกลมสีเหลือง เมื่อเป็นมากๆ จะขยายติดต่อกันเป็นปื้นเหลืองตามแนวยาวของใบ เมื่อพลิกดูใต้ใบจะเห็นเป็นกลุ่มผงสีดำ ในที่สุดใบที่เป็นรุนแรงจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ พร้อมทั้งร่วงหลุดออกจากต้นในที่สุด ทำให้ต้นกล้วยไม้ทิ้งใบหมด
    การป้องกันและกำจัด
    ควรเก็บรวบรวมใบที่เป็นโรคออกไปเผาทำลาย และรักษารังกล้วยไม้ให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อเป็นการทำลายเชื้อและลดปริมาณของเชื้อราในรังกล้วยไม้ และฉีดพ่นด้วยยาเดลซีนเอ็มเอ็ก 200, ไดเทนเอ็ม 45, เบนเลททุกๆ 7–10 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

    เพลี้ยไฟหรือตัวกินสี


    เป็นแมลงชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กมากขนาดยาวของตัวประมาณ 1-2 มิลลิเมตรเท่านั้น ตัวเมียจะวางไข่ในเนื้อเยื่อ ของกลีบดอก� ระยะไข่ 2 - 6 วัน ไข่จะมีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เมื่อฟักเป็นตัวจะมีสีครีมหรือเหลืองอ่อน และน้ำตาลเข้ม เป็นแมลงจำพวกปากดูดเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว� มีปีกบินได้พวกนี้ชอบหลบซ่อนตัวอยู่ตามโคนกลีบดอกหรือตามรอยซ้อนกัน ระหว่างกลีบและปากของกล้วยไม้
    ลักษณะการทำลายกล้วยไม้ของเพลี้ยไฟ คือ การดูดน้ำเลี้ยงจากดอกทำให้เกิดเป็นรอยขาวๆ คดเคี้ยวไปมา จะทำลายริมดอกไปก่อนเมื่อจากอาการที่ดอกตูมมีสีน้ำตาลและแห้งคาก้านช่อดอก ชะงักการเจริญเติบโตถ้าเป็นดอกบาน จะปรากฏรอยสีซีดขาวที่ปากกระเป๋าและตำแหน่งที่กลีบดอกซ้อนกัน ต่อมาจะกลายเป็นสีน้ำตาล เรียกกันว่าดอกไหม้ เมื่อแกะอุ้งปากของดอกกล้วยไม้ออกจะเห็นตัวอ่อนหรือตัวแก่ของเพลี้ยไฟแอบซ่อนอยู่คอยดูดกินน้ำเลี้ยงของกล้วยไม้ ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน ในการทำลายช่อดอก เพลี้ยไฟจะระบาดในสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง คือในฤดูร้อนนั่นเอง ส่วนฤดูฝนการระบาดจะลดลง
    การป้องกันกำจัด
    การทำได้โดยการทำความสะอาดภายในและบริเวณรอบๆเรือนกล้วยไม้อยู่เสมอเพื่อมิให้เป็นที่หลบซ่อนของเพลี้ยไฟ และพ่นยาโมโนโครโตฟอส ในอัตราตัวยา 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้นแม้กระทั่งตามซอกใบ ประมาณสัปดาห์ละครั้ง หรือใช้แจคเก็ต (อะบาเม็กติน)ใช้อัตรา 30 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วเมื่อพบการระบาด

    เพลี้ยหอย


    เพลี้ยหอย เพลี้ยเกล็ด กล้วยไม้ที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง ไม่ค่อยได้รับการฉีดพ่นยา ขาดการเอาใจใส่ดูแลมักจะถูกทำลายด้วยเพลี้ยหอยเพลี้ยเกล็ด
    ������� ลักษณะการทำลาย เพลี้ยหอยจะดูดกินน้ำเลี้ยงบนใบ ลำต้นและราก จะสังเกตเห็นว่าบริเวณที่ถูกเพลี้ยหอยดูดกินน้ำเลี้ยง จะมีสีเหลืองเป็นจุดนูนเล็กๆ ทำให้ต้นกล้วยไม้ชะงักการเจริญเติบโต พอนานๆ ก็แห้งเหี่ยวตายได้
    การป้องกันกำจัด
    ให้ฉีดพ่นด้วยยาดูดซึม เช่น อโซดริน ไวย์เดทแอล เป็นต้น


    กล้วยไม้( 24 รายการ )

    เอ็กซอล แบบซอง 15 ml

    สไปนีโทแรม 12%W/V SC
    รหัสสินค้า A185
    หมดอายุ 1/67

    99.00 - 119.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    เอ็กซอล

    สไปนีโทแรม
    รหัสสินค้า A4028
    ไม่ระบุ

    29,099.00 - 29,259.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    มาเฟอร์(เขียว)

    แมนโคเซบ
    รหัสสินค้า A3663
    ไม่ระบุ

    289.00 - 299.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ออสโมโค้ท-พลัส

    สูตร 12-25-6+1%
    รหัสสินค้า A2889
    ผลิต 2025-06-01

    29.00 - 35.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ออสโมโค้ท

    สูตร 13-13-13
    รหัสสินค้า A2557
    ผลิต 2024-07-01

    149.00 - 169.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ทาบ็อก

    อีทาบอกแซม
    รหัสสินค้า A859
    ไม่ระบุ

    1,759.00 - 1,779.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    เอ็กซอล

    สไปนีโทแรม
    รหัสสินค้า A2939
    ไม่ระบุ

    1,229.00 - 1,249.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    เอ็กซอล

    สไปนีโทแรม
    รหัสสินค้า A3889
    หมดอายุ 1/67

    4,659.00 - 4,799.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ท๊อปกัน สีเขียว ยกลัง

    แมนโคเซบ
    รหัสสินค้า A4591
    ไม่ระบุ

    3,199.00 - 3,399.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    อิมิดาโกลด์70

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A4636
    ไม่ระบุ

    1,299.00 - 1,369.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    อิมิดาโกลด์70

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A4638
    ไม่ระบุ

    24,399.00 - 24,999.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    โปรวาโด 2 กรัม ยกลัง

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A4626
    ไม่ระบุ

    12,599.00 - 12,999.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    โปรวาโด 100 กรัม ยกลัง

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A4625

    10,899.00 - 11,299.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    โปรวาโด10กรัม(10X10g.)

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A4470
    ผลิต 2024-06-20

    559.00 - 649.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    โปรวาโด2กรัม (25X2กรัม)

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A4397
    ไม่ระบุ

    339.00 - 359.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    เสือพรีอุส 70

    อิมิดาคลอพริด
    รหัสสินค้า A4396

    11,699.00 - 11,999.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    เอ็กซอล แบบซอง ยกลัง

    4 X 50 X 15ml.
    รหัสสินค้า A4395
    ไม่ระบุ

    18,399.00 - 18,599.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ดูมาร์ค

    เตตระโคนาโซล
    รหัสสินค้า A117

    629.00 - 699.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    มอร์เก็น

    ฟิโพรนิล
    รหัสสินค้า A163

    339.00 - 389.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ผักโขมก้านแดง

    3 กรัม ความงอก 85%
    รหัสสินค้า A168
    หมดอายุ 8/69

    10.00 - 12.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ผักโขมก้านแดง

    30 กรัม ความงอก 85%
    รหัสสินค้า A167
    หมดอายุ 8/69

    69.00 - 89.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    โปรวาโด 2 กรัม

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A140
    ไม่ระบุ

    17.00 - 25.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    ออสโมโค้ท-พลัส

    12-25-6+1% แมกนีเซียม
    รหัสสินค้า A210
    ผลิต 2024-03-01

    179.00 - 189.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข

    อิมิดาโกลด์ 70

    อิมิดาโคลพริด
    รหัสสินค้า A1
    ไม่ระบุ

    615.00 - 619.00 ฿
    จัดส่งฟรี เงื่อนไข