ชื่อวิทยาศาสตร์ :� Mangifera indica� L.
วงศ์ : Anacardiaceae
ชื่อสามัญ : Mango
ชื่ออื่น : ทั่วไป เรียก มะม่วงบ้าน, มะม่วงสวน กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี เรียก ขุ ,โคก จันทบุรี เรียก เจาะ ช๊อก ช้อก นครราชสีมา เรียก โตร้ก� มลายู-ภาคใต้ เรียก เปา ละว้า-เชียงใหม่ เรียก แป กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน เรียก สะเคาะ, ส่าเคาะส่า เขมร เรียก สะวาย เงี้ยว-ภาคเหนือ เรียก หมักโม่ง� จีน เรียก มั่งก้วย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ |
|
�������ราก มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นจึงมีระบบรากเป็นรากแก้ว รากสามารถไชชอนลงสู่ดินได้ลึกพอสมควร ซึ่งอาจลึกได้ถึง 6 เมตร สำหรับรากดูดอาหารนั้นจะอยู่หนาแน่นที่บริเวณผิวดินลึกประมาณ 30 60 เซนติเมตร และจะแผ่กว้างออกเป็นรัศมีประมาณ 7.5 เมตร โดยรอบต้นในบางครั้งอาจเห็นรากมะม่วงเจริญโผล่ขึ้นมาบนดินให้เห็นหากขาดการพรวนดินพูนโคนเป็นเวลานาน |
![]() |
�������ลำต้น ลักษณะลำต้นตรง สูงประมาณ 10 14 เมตร มีสีน้ำตาลเทา หรือเกือบดำ ขนาดของลำต้นขึ้นอยู่กับพันธุ์และอายุของต้นมะม่วง เปลือกของลำต้นแข็ง มีลักษณะขรุขระและมีเกล็ดมาก เปลือกอ่อนสีเขียว แต่เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เนื้อไม้เมื่ออายุน้อยจะมีสีเขียว เมื่อแก่มีอายุมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแกมแดง ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปใช้ในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี� โดยเฉพาะเครื่องเรือนที่อยู่ในร่ม� มีกิ่งก้านสาขาใหญ่และแข็งแรง ลักษณะทรงพุ่มเป็นรูปครึ่งวงกลมหรือรูปไข่ หรือรูปไข่ค่อนข้างยาว |
![]() |
�������ใบ ใบมะม่วงเป็นใบเดี่ยวเรียงตัวสลับกัน ทำให้มีลักษณะใบเรียงตัวเป็นเกลียว ที่บริเวณปลายกิ่งมักจะมีใบเกิดถี่ ใบไม่มีขน ไม่มีหูใบ ผลิใบออกมาเป็นระยะๆ ใบอ่อนมักมีสีออกแดง เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเป็นมัน ก้านใบยาว 1 10 เซนติเมตร แผ่นใบยาว 8 40 เซนติเมตร กว้าง 2 10 เซนติเมตร ใบมีรูปร่างแบบรูปโล่ รูปหอก รูปไข่ และเรียวยาว ฐานใบแคบและค่อยๆ� กว้างออกคล้ายรูปลิ่มแหลม� ปลายใบแหลม� ขอบใบมักจะเป็นคลื่น เส้นกลางใบเด่นชัดและมีเส้นใบย่อยไม่เกิน 30 คู่ ปากใบอยู่ที่ผิวใบทั้ง 2 ด้าน แต่ผิวใบด้านล่างมีจำนวนปากใบมากกว่าผิวใบด้านบน ใบมะม่วงมีอายุประมาณ 1 ปี หรือมากกว่านั้น |
![]() |
�������ดอก และช่อดอก มะม่วงจะออกดอกที่ปลายกิ่งหรือตาตามกิ่งช่อดอกยาวประมาณ 10 16 เซนติเมตร ในแต่ละช่อจะมีดอกประมาณ 1,000 6,000 ดอก ก้านช่อดอกมักเจือสีแดงและมักมีขน ในแต่ละช่อดอกประกอบด้วยดอก 2 ประเภท คือ ดอกสมบูรณ์เพศและดอกเพศผู้ ดอกสมบูรณ์เพศจะมีเพศผู้และเพศเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน และสามารถเจริญเติบโตกลายเป็นผลได้เมื่อได้รับการผสมเกสร ส่วนดอกเพศผู้ ซึ่งเป็นดอกที่ไม่สามารถเจริญไปเป็นผลได้ ปกติจะมีดอกสมบูรณ์เพศประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนดอกทั้งหมด จะมีมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ปริมาณแสงสว่าง และฤดูกาล |
![]() ![]() |
�������ผล� ผลมะม่วงมีความแตกต่างกันมากในเรื่องของขนาด รูปร่าง สี ปริมาณเสี้ยน รสชาติ และกลิ่น แต่ผลมะม่วงจะมีผิวเรียบ ความยาวของผลมีตั้งแต่ 2.5 3.0 เซนติเมตร กว้าง 1.5 1.0 เซนติเมตร รูปร่างของผลมีตั้งแต่กลมไปจนถึงรูปไข่ค่อนข้างยาว ผลมักจะแบนด้านข้าง รูปร่างของผลอาจแตกต่างกันในส่วนของแก้ม ไหล่ หลัง ปลาย คาง และจะงอย สีของผลประกอบด้วยส่วนผสมของสีต่างๆ เช่น สีเขียว เหลือง และแดง รสชาติมีตั้งแต่หวานและฉ่ำน้ำมากไปจนถึงเปรี้ยว และค่อนข้างแข็ง� กลิ่นมีตั้งแต่กลิ่นอ่อนไปจนถึงกลิ่นรุนแรง ผลจะแก่ภายใน 3 4 เดือนหลังจากดอกบาน |
![]() |
�������เมล็ด� เมล็ดที่อยู่ถัดจากเปลือกชั้นในเข้าไปมีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงเกือบไม่มีเม็ดหรือเมล็ดลีบ เปลือกหุ้มเมล็ดมีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น คือ เปลือกเมล็ดชั้นนอก (testa) กับเปลือกเมล็ดชั้นใน (tegmen) ทั้งสองชั้นมีสีน้ำตาลหุ้มเอนโดสเปิร์ม (endosperm) และเอ็มบริโอ (embryo) ไว้ เอนโดสเปิร์มอาจแยกได้เป็น 2 อัน อาหารเลี้ยงเอ็มบริโอไม่อยู่ในใบเลี้ยงแต่อยู่ที่เอนโดสเปิร์ม |
![]() |
พันธุ์มะม่วง
มะม่วงมีมากมายหลายสิบพันธุ์ อาจแบ่งเป็นพวกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ
(1) มะม่วงสำหรับรับประทานผลดิบ เช่น พิมเสนมัน แรด เขียวเสวย มันหนองแซง ฟ้าลั่น เป็นต้น
(2) มะม่วงสำหรับรับประทานผลสุก เช่น อกร่อง น้ำดอกไม้ หนังกลางวัน ทองดำ เป็นต้น
(3) มะม่วงที่ปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้
- มะม่วงสำหรับดอง เช่น มะม่วงแก้ว เป็นต้น
- มะม่วงสำหรับบรรจุกระป๋อง เช่น ทำน้ำคั้น มะม่วงแช่อิ่ม เช่น มะม่วงสามปี เป็นต้น
สำหรับมะม่วงพันธุ์ที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ได้แก่ มะม่วงสุกพันธุ์หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ ทองดำ และมะม่วงแก้ว ซึ่งตลาดต่างประเทศที่ประเทศไทยส่งไปจำหน่ายมากได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย
![]() |
![]() |
![]() |
มะม่วงแก้วแดง |
มะม่วงแก้ว |
มะม่วงแก้วขมิ้น |
![]() |
![]() |
![]() |
มะม่วงฟ้าลั่น |
มะม่วงแรด |
มะม่วงอกร่องพิกุล |
![]() |
![]() |
![]() |
มะม่วงทองดำ |
มะม่วงน้ำดอกไม้ |
มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง |
![]() |
![]() |
![]() |
มะม่วงเขียวเสวย |
มะม่วงมหาชนก |
มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง |
สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
�������มะม่วงสามารถปลูกและผลิดอกออกผลได้ดีในพื้นที่ทุกจังหวัด และทุกภาคของประเทศ แต่จะให้ผลแตกต่างกันไป ตามสภาพของท้องที่ ยกเว้น บางจังหวัดในภาคใต้ที่มีปริมาณฝนตกมาก และการกระจายของฝนเกือบตลอดปี กล่าวคือ ถ้าปลูกในที่ที่มีฝนตกมากแล้ว จะทำให้มะม่วงเจริญเติบโตทางด้านลำต้นมาก แต่ไม่ออกดอกออกผลเท่าที่ควร การปลกูมะม่วงเป็ฯการค้าและปลูกเป็นจำนวนมากๆ ควรคำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม ดังต่อไปนี้
�������1. ปริมาณน้ำฝนและความชื้นในอากาศ สามารถปลูกมะม่วงได้ทุกภาค นอกจากบางท้องที่ที่มีฝนตกชุกทั้งปี ไม่มีช่วงแล้งคั่นเลย โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม มกราคมและ กุมภาพันธ์ ซึ่ง เป็นระยะที่มะม่วงจะออกดอก ถ้ามีฝนตกหรือความชื้นมาก ยอดที่แตกมาใหม่จะเจริญไปเป็นใบเสียหมด แทนที่จะเจริญเป็นดอก ในสภาพดินฟ้าอากาศเช่นนี้ จึงไม่เหมาะที่จะปลูกมะม่วงเป็นการค้า นอกจากจะปลูกพันธุ์ที่ออกดอกง่าย หรือใช้วิธีการอื่นๆ ช่วยเร่งการออกดอก
�������2. อุณหภูมิ ปกติมะม่วงชอบอากาศร้อน และทนต่ออากาศที่ร้อนและแห้งแล้งได้ ไม่ชอบอากาศที่เย็นจัด ถ้าอากาศเย็นจัดเกินไปต้นมะม่วงอาจตายได้ สำหรับในประเทศไทย ยังไม่พบว่า เกิดความเสียหายเนื่องจากอุณหภูมิร้อนหนาวของอากาศอย่างเด่นชัดนัก จึงสามารถปลูกมะม่วงได้ทุกภาค และเป็นที่สังเกตได้ว่า ปีใดอากาศหนาวมาก ปีนั้นมะม่วงจะออกดอกมาก
�������3. ดิน มะม่วงปลูกได้ในดินทั่วไป ดินที่มะม่วงชอบดือ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย อินทรีย์วัตถุ มีธาตุอาหารอย่างเพียงพอ ที่สำคัญคือดินปลูกต้องระบายน้ำได้ดีมะม่วงไม่ชอบดินที่เหนียวจัด จับกันเป็นก้อนแข็งจนนํ้าระบายไม่ได้
�������4. ความลึกของหน้าดินและระดับนํ้าในดิน ถ้าระดับความลึกของหน้าดินน้อย มีดินดานอยู่ข้างล่าง หรือดินปลูกมีระดับนํ้าในดินตื้นรากมะม่วงก็ไม่สามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้ แต่จะแผ่ขยายอยู่ในระดับตื้นๆ ทำ ให้ต้นมะม่วงไม่เติบโตเท่าที่ควร ต้นมีอายุไม่ค่อยยืนและโค่นล้มได้ง่าย
�������5. ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน มะม่วงไม่ชอบดินที่เป็นด่างมาก หรือดินที่มีหินปูนมาก ดินที่เป็นด่างจะทำให้มะม่วงเติบโตช้าโดยเฉพาะต้นอ่อนจะตายง่าย ดินที่เหมาะสำ หรับมะม่วงคือ ดินที่มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ถึงเป็นกลาง (pH. 6.5 - 7.5)
�������6. นํ้า หากมีนํ้าที่จะให้แก่ต้นมะม่วงอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ต้นมะม่วงเติบโตเร็ว แข็งแรง ไม่ชะงักการเติบโต โดยเฉพาะระยะที่มะม่วงกำลังติดผลเล็กๆ ถ้ามีนํ้าให้อย่างเพียงพอ จะทำให้ติดผลได้มาก ผลมักไม่ร่วง การปลูกมะม่วงจึงควรมีแหล่งนํ้าอยู่ใกล้ๆ การพึ่งแต่นํ้าฝนเพียงอย่างเดียวย่อมไม่ได้ผลเท่าที่ควร
�������7. ลม ปัญหาอีกประการหนึ่งของการปลูกมะม่วงก็คือ ผลมะม่วงร่วงหล่นเพราะลมแรง ทั้งนี้เนื่องจากก้านผลมะม่วงยาวและแก่วงไกวได้เมื่อลมพัด ทำ ให้ผลกระทบกระแทกกัน ร่วงหล่นมาก บางแห่งผลมะม่วงอาจร่วงหล่นเพราะเหตุนี้เกินกว่าครึ่ง
การเตรียมพื้นที่ |
�������ระยะปลูก ระยะปลูกระหว่างต้นและแถวที่แนะนำคือ 6 x 6 เมตร จำนวน 45 ต้นต่อไร่�� หรือจะเลือกเอาตามความเหมาะสมของพื้นที่� (8x8 เมตร, 6x5 เมตร)
|
�������การเตรียมหลุมปลูก หากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่แนะนำให้ใช้เครื่องเจาะหลุมช่วย เป็นการประหยัด เวลาและช่วยประหยัดค่าแรงงานไปได้มาก เครื่องเจาะที่นิยมใช้โดยทั่วไปจะมีขนาดหลุม กว้าง 50-75เซนติเมตร เจาะลึกลงไปประมาณ 50 เซนติเมตร แต่หากเป็นการปลูกไว้ตามสวนหลังบ้านแบบบ้านละ 1-2ต้น ให้ใช้จอบขุดหลุมกว้าง ยาว และ ลึก 50 เซนติเมตร ก็พอ หลังขุดหลุมเสร็จให้หาปุ๋ยคอกเก่ามาผสมกับดินที่ขุดขึ้นมา ต้นละ 5 กก. พยายามใช้จอบผสมคลุกเคล้าดินกับปุ๋ยคอกให้เข้ากันดีเพราะหากผสมไม่ดีอาจมีปัญหาทำให้มะม่วงที่ปลูกใหม่ตายเพราะปุ๋ยคอกได้ เมื่อผสมเสร็จให้โกยดินที่ผสมลงในหลุมเหมือนเดิม โดยพูนดินให้เป็นในลักษณะหลังเต่า ทิ้งเวลาไว้ประมาณ 7-10 วัน จึงเริ่มปลูกมะม่วงได้ แต่บางครั้งพบเกษตรกรบางรายใช้วิธีขุดหลุมแล้วปลูกเลยปุ๋ยคอกจะนำมาใส่ทีหลัง วิธีนี้ก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะคนที่ปลูกในพื้นที่มากๆ� และไม่สามารถหาแรงงานในการเตรียมหลุมได้ |
�������การปลูก� เมื่อเราได้กิ่งพันธุ์มาแล้ว ก่อนปลูกประมาณ 1-2 วัน ต้องงดน้ำเพื่อให้ดินในถุงแห้งป้องกันดินแตกเวลาปลูก (ดูว่าให้แค่พอแห้งไม่ใช่ปล่อยจนมะม่วงเหี่ยว) ก่อนปลูกอาจรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยเคมี ถ้าปลูกแปลงใหญ่ แนะนำให้ขุดหลุมให้เสร็จเสียก่อนแล้วค่อยปลูกทีหลัง เพื่อความสะดวกในการเล็งต้นให้เป็นแนวตรงกัน ที่สำคัญก่อนปลูก เวลาวางกิ่งพันธุ์ ห้ามให้กิ่งพันธุ์ล้มหรือนอน เพราะกิ่งพันธุ์จะตายได้ง่าย ต้องวางกิ่งพันธุ์ให้ตั้งเท่านั้น |
การให้น้ำมะม่วง |
วิธีใส่ปุ๋ยกับมะม่วง
วิธีการใส่ปุ๋ย |
การตัดแต่งกิ่ง |
การห่อผล การห่อต้องประณีต เพื่อป้องกัน แมลง� กิ่ง และก้านทำให้ผิวเสีย น้ำฝน และน้ำค้างลงขั้ว และใช้ถุงสำหรับห่อใหม่ทุกครั้ง มีการฝึกอบรมคนงานห่อให้เข้าใจในการห่อ ก่อนห่อควรพ้นสารป้องกันแมลงแล้วปล่อยให้แห้งแล้วจึงห่อผล |
การเก็บเกี่ยวและการจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว |
โรคแอนแทรกโนส (Anthracnose)
|
โรคราแป้ง (Powdery Mildew)
|
โรคใบจุดสาหร่าย (Algal leaf spot)
|
โรครากํามะหยี่ (Felt fungus)
|
โรคเปลือกแตก ยางไหล (Bark Cracking and Gummosis)
|
โรคยางไหล กิ่งแห้ง (Gummosis and twig blight)
|
โรคราดํา (Sooty mold)
|
แมลงบั่วมะม่วง/บั่วปมในมะม่วง (Mango gall midge)
|
เพลี้ยไฟมะม่วง (Thrips)
|
เพลี้ยจักจั่นมะม่วง
|
เพลี้ยหอยข้าวตอก
|
แมลงวันผลไม้(Oriental fruit fly)
|
ด้วงเจาะลําต้นมะม่วง (Mango stem borer beetles)
|
เพลี้ยหอยมะม่วง (Mango seales)
|